ประวัติวันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา
ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันในเมืองราชคฤห์ ปรากฏเหตุการณ์ที่มีนักบวชนออกจากพุทธศาสนาและปฏิบัติพิธีจาริก โดยมีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์จำนวน ๑,๕๐๐ รูปต่างๆ พาบริวารเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อปฏิบัติการจาริกตามประเพณีท้องถิ่นในช่วงจำพรรษาของพระภิกษุกลุ่มนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เมื่อพระภิกษุส่วนใหญ่มักประจำที่วัดเพื่อฝึกฝนตนเอง
เนื่องจากไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษาในตอนต้นของพุทธกาล ชาวบ้านต่างๆ เริ่มติเตียนต่อพุทธศาสนาเนื่องจากพระภิกษุได้ทำลายนาข้าวในการจาริกของตน การเริ่มต้นของปัญหานี้ได้ถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์และตรัสถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จากนั้นทรงบัญญัติให้พระภิกษุกลุ่มนี้ต้องอยู่จำพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน
ตามหนังสือ “วันเข้าพรรษา” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ระบุว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืนที่ที่อื่นได้ ไม่เกิน ๗ วันโดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดข้อบังคับ มีเหตุผลที่เป็น “สัตตาหกรณียกิจ” ซึ่งมี ๔ ประการดังนี้
1. เพื่อนสหธรรมิก (ผู้มีธรรมร่วมกัน) ทั้ง ๕ ประการ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขามานา (นางผู้กำลังศึกษา/สามเณรีผู้มีอายุ ๑๘ ปีและอีก ๒ ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี) สามเณร สามเณรี หรือบิดามารดาที่ป่วยไปเพื่อรักษา
2. ไปเพื่อยับยั้งเพื่อนสหธรรมิกที่มีความจำเป็น และไม่ให้สึกได้
3. ไปเพื่อดำเนินกิจกรรมของสงฆ์ เช่น ซ่อมแซมกุฏิหรือวิหารที่เสื่อมทรุดได้
4. ไปเพื่อร่วมฉลองศรัทธาทายกที่ถูกส่งตัวแทนมานิมนต์ไปร่วมบำเพ็ญบุญ
ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเข้าพรรษานั้นไม่ได้เป็นเพียงการจาริกเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่พระภิกษุได้ปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสงฆ์และชุมชนในระหว่างช่วงเวลาที่ต้องอยู่จำพร
“นอกจากนั้น, ในวันเข้าพรรษา ยังมีการยกเว้นที่เป็นประการต่อไปนี้สำหรับพระภิกษุ แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการประจำที่พระวัดตามประสงค์ พระภิกษุก็สามารถหลีกเลี่ยงการอาบัติไปที่ที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่ามีการละเมิดข้อบังคับ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้: ถูกสัตว์ร้ายรบกวนหรือเบียดเบียน, ถูกงูรบกวนหรือขบกัด, ถูกโจรเบียดเบียนหรือปล้น, ทุบตี, ถูกปีศาจรบกวน, เข้าสิงหรือถูกฆ่า และชาวบ้านที่ไม่สามารถอุปถัมภ์ต่อพระภิกษุได้ต่อไป เนื่องจากย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น, หรือเสนาสนะของภิกษุถูกไฟไหม้น้ำท่วม, หรือมีผู้จะพยายามทำร้ายพระภิกษุ
นอกจากนี้, วันเข้าพรรษาไม่เพียงแค่เป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุอยู่ประจำที่วัดตามประสงค์, แต่ยังเป็นโอกาสที่สร้างขึ้นประเพณีสำคัญอีกด้วย โดยมี 2 ประเพณีที่สำคัญคือ ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน และ ประเพณีแห่เทียนพรรษา
ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝนเกิดขึ้นจากเรื่องราวในสมัยพุทธกาล ที่นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ต้องการจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารที่บ้าน เมื่อนางไปที่พระวิหารเชตวัน, นางพบว่าพระภิกษุกำลังอาบน้ำฝนเปลือยกาย นางกลับมารายงานโดยคิดว่าไม่พบพระ แต่เจอแต่พวกชีเปลือย นางวิสาขาเข้าใจผิดและได้ทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า โดยที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณี ทำให้เกิดประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวกันว่า ผู้ที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนจะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกับการถวายผ้าอื่น ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ คือ ทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส, สวยงาม, ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ, มีความสะอาดทั้งกายและใจ”
ส่วนประเพณีแห่เทียนพรรษา
“ประเพณีแห่เทียนพรรษา” เกิดขึ้นจากความจำเป็นในสมัยที่ยังไม่มีการใช้ไฟฟ้าเหมือนปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่พระภิกษุรวมตัวกันมากๆ เพื่อปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เช่น การสวดมนต์ในเวลามืดหรือหลังค่ำ, การศึกษาพระปริยัติธรรม, การบูชาพระรัตนตรัย, ฯลฯ ที่ต้องใช้แสงสว่างจากเทียน เพื่อให้ทำกิจกรรมเหล่านั้นได้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น, ชาวบ้านจึงร่วมกันนำเทียนมาถวาย แรกเริ่มอาจจะเป็นเทียนเล็กๆธรรมดา, แต่ต่อมามีการมัดเทียนเล็กๆมารวมกันเป็นต้น, คล้ายกับต้นกล้วยหรือลำไม้ไผ่, แล้วติดกับฐานที่เรียกว่า “ต้นเทียน” หรือ “ต้นเทียนพรรษา” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวบ้านใช้ในการปฏิบัติพิธีถวายในวันเข้าพรรษา และวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทียนพรรษาที่เรามักเห็นในปัจจุบัน
ประวัติของเทียนพรรษานั้นเริ่มต้นมาจากผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งทำการบูชาด้วยการใช้วัวเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย, จะเอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระเป็นเจ้าที่ตนเคารพ ในทางตรงกันข้าม, ชาวพุทธจะทำเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย, โดยเอามาจากรังผึ้งร้าง ที่ต้มขี้ผึ้งมาฟั่นเป็นเทียนเล็กๆ เพื่อใช้ในการบูชาพระ และเมื่อถึงช่วงเข้าพรรษา, ชาวบ้านจะนำเทียนไปถวายพระภิกษุเพื่อปรารถนาให้ตนเองมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนแสงสว่างของดวงเทียน”