โรคสมาธิสั้นในเด็ก: ทฤษฎี การรักษา และการสนับสนุน
โรคสมาธิสั้นหรือ ADHD เป็นภาวะสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็กวัยเรียนทั่วโลกอย่างมาก มันมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ การทำงาน และความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อน ชื่อ ADHD มาจากภาษาอังกฤษ “Attention deficit/hyperactivity disorder” ซึ่งมีสองลักษณะหลัก คือ การขาดสมาธิในการทำกิจกรรม และพฤติกรรมที่เร่งรีบหรือเครียดเร่งด่วน
ความถี่ของ ADHD ในเด็กวัยเรียนประมาณ 7% ของประชากรโลกในกลุ่มอายุนี้ นั่นหมายความว่าเมื่อพิจารณาเด็กวัยเรียน 100 คนจะมีเด็กที่มีโรคสมาธิสั้นประมาณ 7 คน ดังนั้น การเข้าใจถึงนิยมของโรคนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้เราสามารถเสริมสร้างการสนับสนุนและการดูแลที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่มี ADHD ได้อย่างเต็มที่
ในการรับรู้และการเข้าใจ ADHD มีบทบาทสำคัญในการสร้างชุดมาตรการและการสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่มีภาวะนี้ การปรับเปลี่ยนการเรียนรู้และสภาพแวดล้อมการเรียนที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนของเด็กที่มี ADHD ได้ นอกจากนี้ การสนับสนุนจากครอบครัวและครูอาจมีผลที่สำคัญในการช่วยเด็กมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนรู้และพัฒนาการตนเอง
นอกจากนี้ การเชื่อมโยงกับรัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนเด็กที่มี ADHD เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มีการเตรียมความพร้อมในการให้บริการและการสนับสนุนที่เหมาะสมต่อเด็กและครอบครัวที่ต้องการ นอกจากนี้ การเพิ่มความตระหนักในสังคมเกี่ยวกับ ADHD อาจช่วยให้เด็กที่มีโรคนี้รับการยอมรับและการสนับสนุนที่มากขึ้นจากชุมชนโดยรอบ
สร้างความเข้าใจและการรับรู้ในสังคมเกี่ยวกับ ADHD เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กที่มีโรคนี้ได้รับการดูแลและการสนับสนุนที่เหมาะสม เพื่อให้พัฒนาการและคุณภาพชีวิตของเด็กที่มี ADHD ไปในทิศทางที่เชื่อมั่นและเติบโตได้อย่างเต็มที่
สัญญาณและอาการของเด็กที่มี ADHD
เด็กที่มี Attention deficit/hyperactivity disorder (ADHD) มักจะมีรูปแบบพฤติกรรมที่แตกต่างจากเด็กปกติ อาการหลักที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลักๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:
- ด้านการกิจกรรมและการเคลื่อนไหว:
- อยู่ไม่นิ่ง ซึ่งมักจะมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
- ยุกยิกและกระสับกระส่าย
- มืออยู่ไม่สุขและต้องขยับตลอด
- ชอบเดินไปมาและนั่งไม่ติดที่
- ด้านการพูดและการสื่อสาร:
- พูดเก่งและเร็ว
- พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อยๆ
- หุนหันพลันแล่นและรอคอยไม่ได้
- เหมือนรถไม่มีเบรคเมื่อมีความต้องการทำอะไร
- ด้านสมาธิและการจัดการกับความสนใจ:
- ขาดสมาธิและทำงานตกหล่น
- เหม่อลอยและขี้ลืม
- ทำของหายบ่อยๆ และทำอะไรนานๆ ไม่ได้
- เปลี่ยนกิจกรรมบ่อยๆ และทำงานไม่เสร็จ
อาจพบการพึ่งพาในการเข้าใจของผู้อื่นที่ต่ำและการตอบสนองที่ช้าลงเมื่อมีคนพูดด้วย หรือเมื่อต้องทำอะไรที่ช้าๆหรือนานๆ อาจไม่อยากทำหรือไม่อดทนพอที่จะทำสิ่งนั้น
การรับรู้และการรับรู้อาการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กที่มี ADHD ได้รับการสนับสนุนและการดูแลที่เหมาะสม เพื่อให้พัฒนาการและคุณภาพชีวิตของเด็กเหล่านี้ไปในทิศทางที่เชื่อมั่นและเติบโตได้อย่างเต็มที่
สาเหตุของโรคสมาธิสั้น: การทำงานของสมองและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
โรคสมาธิสั้นหรือ ADHD มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อการทำงานของสมอง โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับส่วนหน้าของสมอง ส่วนที่มีหน้าที่ควบคุมการสมาธิจดจ่อ การยับยั้งชั่งใจ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ส่วนหน้าของสมองในบุคคลที่มี ADHD มักมีการทำงานลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยพันธุกรรม และ/หรือสภาพแวดล้อม แม้ว่าการวิจัยในเชิงพันธุกรรมของ ADHD กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ได้แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุที่แน่ชัด
นอกจากนี้ มีปัจจัยสภาพแวดล้อมที่อาจมีผลต่อการพัฒนาของ ADHD เช่น การสูบบุหรี่แม่ในระหว่างการตั้งครรภ์ การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ และปัจจัยทางสังคมที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก เช่น สภาพการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสม การเสพยาเสพติด และความเครียดในชีวิตประจำวัน
การเข้าใจถึงสาเหตุของ ADHD เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาวิธีการรักษาและการสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับบุคคลที่มี ADHD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุที่สมองทำงานน้อยกว่าปกติคืออะไร?
สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนและมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมพฤติกรรมและความรู้สึกของเรา โดยเฉพาะส่วนหน้าของสมองมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความสนใจ การควบคุมอารมณ์ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อสมองทำงานน้อยลงหรือมีปัญหา อาจทำให้เกิดอาการของโรคสมาธิสั้นหรือ ADHD ซึ่งสาเหตุของการทำงานน้อยลงนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม สภาพแวดล้อม และปัจจัยทางสังคม
ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่สมองทำงานน้อยกว่าปกติอาจเป็นเพราะสารสื่อประสาทหลั่งออกมาน้อยกว่าคนปกติ สารสื่อประสาทเปรียบเสมือนน้ำมันที่ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากไม่มีสารสื่อประสาทที่เพียงพอ สมองอาจไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งการทำงานน้อยลงของสารสื่อประสาทสามารถเกิดขึ้นได้จากการสืบพันธุ์ สภาพแวดล้อม และปัจจัยทางสังคม
อย่างไรก็ตาม การเข้าใจถึงสาเหตุของการทำงานน้อยลงของสมองเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาวิธีการรักษาและการสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับบุคคลที่มีปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุของการหลั่งสารสื่อประสาทน้อยลงในโรคสมาธิสั้น
การละเมิดการปล่อยสารสื่อประสาทในสมองเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมและสมาธิของบุคคล โดยปัจจัยหลักที่ทำให้สารสื่อประสาทละเมิดการทำงานมักเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของสมอง และอาจส่งผลต่อการปล่อยสารสื่อประสาทในสมองได้ดังนี้:
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: การสืบพันธุกรรมอาจมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคสมาธิสั้น หากมีพ่อหรือแม่หนึ่งคนเป็นโรคสมาธิสั้น มักพบว่าลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้อยู่ที่ร้อยละ 57 โดยการสืบพันธุกรรมอาจมีผลทำให้สมองปล่อยสารสื่อประสาทในปริมาณที่ไม่เพียงพอ
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม:
- การสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์อาจมีผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้สารสื่อประสาทในสมองปล่อยออกมาน้อยกว่าปกติ
- น้ำหนักแรกเกิดที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสมองและการปล่อยสารสื่อประสาท
- การได้รับพิษสารตะกั่วอาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและการทำงานของสมอง ทำให้สารสื่อประสาทปล่อยออกมาน้อยกว่าปกติ
การเข้าใจถึงสาเหตุของการละเมิดการปล่อยสารสื่อประสาทเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาแนวทางการรักษาและการป้องกันโรคสมาธิสั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
โรคที่มักพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นบางครั้งไม่ได้เป็นโรคที่เดียวเดียวแต่มักพบร่วมกันกับโรคอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อความซับซ้อนของอาการและการรักษาด้วย เรามาทำความรู้จักกับโรคอื่นที่มักพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นด้วยกัน
- โรคการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder – LD): โรค LD เป็นหนึ่งในโรคที่พบร่วมกับโรคสมาธิสั้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งสถิติยืนยันว่ามีการพบร่วมกันได้ถึง 30% ของผู้ที่มีโรคสมาธิสั้น โรค LD ส่งผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลโดยเฉพาะในด้านการอ่าน เขียน หรือการคำนวณ
- ปัญหาพฤติกรรมดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder – ODD): ODD เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติในพฤติกรรมโดยมักจะไม่เชื่อฟังคำสั่งหรือกฎระเบียบ และมีความกล้าหาญในการต่อสู้ เรียกได้ว่าเป็นกฎของความตรงข้ามกับคำสั่ง โรค ODD มักพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นอย่างสูง
- โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tics): Tics เป็นการกระตุกที่ไม่สมควรของกล้ามเนื้อหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ โดยมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่ควบคุม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในส่วนหน้าของร่างกาย เช่น การกระทำลิ้นหรือทำหน้ากาก การกระทำเหล่านี้อาจพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders): วิตกกังวลเป็นกลุ่มของภาวะที่เกี่ยวข้องกับความกังวล อาการอาจมีตั้งแต่ความเครียดจนถึงการโรคของโรควิตเกิดทั้งในรูปแบบของโรคระยะสั้นและระยะยาว โรควิตกกังวลอาจพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นอย่างบ่อยอยู่ด้วย