ไตวายเรื้อรังคือภาวะที่นำมาซึ่งการทำลายเนื้อไตอย่างต่อเนื่อง มีระยะเวลายาวนานที่รุนแรงเป็นเดือนหรือปี ซึ่งมีผลทำให้ไตลดขนาดลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติ อาการนี้สามารถระบุได้จากค่าอัตราการกรองของไตที่ผิดปกติมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป
สัญญาณและอาการของภาวะไตวายเรื้อรัง
- ปัสสาวะบ่อย : ในระยะแรกจะมีการปัสสาวะบ่อย, มีสีจาง, และเมื่อไตเสื่อมลง ผู้ป่วยจะมีปัสสาวะออกน้อยมาก.
- ขาบวมและกดบุ๋ม : เกิดจากมีเกลือและน้ำคั่งในร่างกาย, หรือมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะมาก. บวมมากอาจทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยจากน้ำคั่งในปอด.
- ความดันโลหิตสูง : เป็นอาการที่พบได้ในผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรัง.
- คลื่นไส้อาเจียน, เบื่ออาหาร, คันตามร่างกาย, อ่อนเพลีย : อาการเหล่านี้มักปรากฏในผู้ป่วยที่มีไตวายเรื้อรัง.
- ปัญหาทางเพศ : ในเพศหญิงอาจมีขาดประจำเดือนหรือไม่สามารถตั้งครรภ์ได้, ส่วนเพศชายจะมีความรู้สึกทางเพศลดลงและการสร้างอสุจิลดลง
ผู้ที่ความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรัง
- โรคเบาหวาน : ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นไตวายเรื้อรัง เนื่องจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดีสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของไตได้.
- ความดันโลหิตสูง : การมีความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดในไต และสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้เกิดไตวายเรื้อรัง.
- การใช้ยาหรือสารบางชนิด : บางประการของยาหรือสารอาจมีผลต่อการทำงานของไต ที่สำคัญคือยาแก้ปวดชนิดที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ (NSAIDs), ยาชุด, ยาหม้อ, และสารทึบรังสี.
- โรคไตอักเสบ : หากมีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคไตอักเสบ มีความเสี่ยงที่จะเป็นไตวายเรื้อรัง.
- การตรวจพบนิ่วในไต: การมีนิ่วในไตอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับการเกิดไตวายเรื้อรัง.
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ: การติดเชื้อที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในระบบทางเดินปัสสาวะอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง.
- โรคอ้วน : น้ำหนักที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อระบบหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดที่มีผลต่อการทำงานของไต.
- โรคหัวใจและหลอดเลือด : โรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดอาจมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดที่ส่งผลต่อสุขภาพไต
- ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคไตวายเรื้อรัง : ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไตวายเรื้อรังหรือมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม, ก็มีโอกาสูงที่จะเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรัง
การป้องกันและลดความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรัง
- ควบคุมน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต : หากคุณมีโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง, ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามคำแนะนำของแพทย์.
- รักษาโรคอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง : หากคุณมีโรคหัวใจ, โรคไตอักเสบ, หรือโรคอื่นที่เป็นปัจจัยเสี่ยง, ควรรักษาโรคนี้อย่างเหมาะสม.
- ออกกำลังกาย : การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความดันโลหิต, ควบคุมน้ำตาลในเลือด, และลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอ้วน.
- รักษาน้ำหนัก : การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระการทำงานของไต.
- ลดการบริโภคเครื่องดื่มและอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก : การลดปริมาณเกลือในอาหารสามารถช่วยลดความดันโลหิตและลดภาระการทำงานของไต.
- เลิกสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่มีผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและสามารถเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง.
- ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ : การดื่มแอลกอฮอล์มากมีผลต่อการเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต.
- รับประทานอาหารที่เหมาะสม : การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยง.
- เลี่ยงการใช้ยาบางชนิดที่เสี่ยงต่อไต : หากมีการใช้ยาหรือสารบางชนิด, ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับการใช้งานให้เหมาะสม.
ทางเลือกในการรักษาภาวะไตวายเรื้อรัง
เมื่อไตเสื่อมหน้าที่อย่างเรื้อรัง การทำงานของไตจะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไตฝ่อเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการควบคุมอาหารและยาเหมือนโรคไตเรื้อรังระยะอื่น ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมี 3 วิธี ได้แก่:
- ล้างไตทางช่องท้อง : ใช้สายยางฝังไว้ในช่องท้องแบบถาวร และใส่น้ำยาล้างไตเข้าไป เพื่อฟอกของเสียในเลือดออก รวมถึงปรับสมดุลของน้ำ เกลือแร่ และสารเคมีต่างๆ โดยต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำยาทุกวัน วันละ 4 – 6 ครั้ง สามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีเพื่อลดโอกาสติดเชื้อในช่องท้อง.
- ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม : นำเลือดออกจากร่างกายด้วยเครื่องไตเทียม เพื่อกำจัดของเสีย ปรับระดับเกลือแร่ในเลือด และปรับสมดุลของน้ำในร่างกายของผู้ป่วยไตวายให้เป็นปกติ ผู้ป่วยจะต้องมารับการฟอกเลือดที่โรงพยาบาลโดยขณะทำต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญฟอกไต.
- ปลูกถ่ายไต : นำไตจากผู้บริจาคหรือผู้เสียชีวิตมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยที่ไตเสื่อม วิธีการผ่านไตเพียงข้างเดียว วางไตใหม่ไว้ในอุ้งเชิงกราน แล้วต่อเข้ากับกระเพาะปัสสาวะและหลอดเลือดของผู้ป่วย ให้ทำงานได้เหมือนภาวะปกติ หลังจากปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องรับประทานยากดภูมิกินยาตลอดชีวิต โดยวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะติดเชื้อ และไม่มีโรคหัวใจรุนแรง.
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายแต่ละรายอาจใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน เนื่องจากผู้ป่วยมักมีโรคอื่นร่วมด้วย จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและประเมินจากอายุรแพทย์โรคไต เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม.