1. “ทางช้างเผือก” กาแล็กซีที่เป็นบ้านของเรา
– กาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นบ้านของระบบสุริยะของเรา ซึ่งถูกจัดอยู่ในประเภทของกาแล็กซีประเภทกังหันมีคาน (Barred Spiral Galaxy) ซึ่งประกอบไปด้วยดาวฤกษ์กว่า 200,000 ล้านดวง และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง ดาวฤกษ์และวัตถุต่าง ๆ ส่วนใหญ่กระจายตัวตามระนาบของกาแล็กซี ความหนาเฉลี่ยประมาณ 2,000 ปีแสง.
2. ดวงอาทิตย์กำลังโคจรรอบใจกลางทางช้างเผือกด้วยอัตราเร็ว 282,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง !
– ดวงอาทิตย์ของเรากำลังเคลื่อนที่โคจรรอบศูนย์กลางทางช้างเผือกด้วยอัตราเร็วที่น่าอึดอัดถึง 282,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง! ระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์, ดาวเคราะห์, และวัตถุขนาดเล็ก ๆ ทั้งหลายที่กำลังเคลื่อนที่โคจรรอบศูนย์กลางทางช้างเผือกนี้ อัตราเร็วที่น่าอึดอัดนี้จะทำให้ดวงอาทิตย์ใช้เวลาโคจรรอบทางช้างเผือกครบหนึ่งรอบในประมาณ 230 ล้านปี.
3. เราอยู่ในทางช้างเผือก แล้วเรามองเห็นทางช้างเผือกได้ยังไง ?
– เราสามารถมองเห็นทางช้างเผือกเนื่องจากระบบสุริยะของเราตั้งอยู่บริเวณแขนของทางช้างเผือก ห่างออกจากใจกลางกาแล็กซีประมาณ 25,800 ปีแสง. การมองทางช้างเผือกจะให้มุมมองจากด้านข้างของทางช้างเผือก และจะปรากฏเป็นแนวยาวที่พาดผ่านบนท้องฟ้าจากทิศเหนือไปทิศใต้. บริเวณที่มีดาวฤกษ์หนาแน่นที่สุดจะอยู่ใกล้กับใจกลางทางช้างเผือก.
4. ดาวทุกดวงที่เห็นบนท้องฟ้า อยู่ในทางช้างเผือกทั้งหมด
– ท้องฟ้าตอนกลางคืนเต็มไปด้วยดาวฤกษ์ที่เรียงตัวกันเป็นกลุ่ม, และมีวัตถุในห้วงอวกาศลึกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น กาแล็กซีแอนโดรเมดา (Andromeda Galaxy) ที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด. ดังนั้น, ทุกดวงที่เรามองเห็นบนท้องฟ้าตอนกลางคืนจะอยู่ภายในทางช้างเผือกของเราทั้งหมด.
– *หมายเหตุ: กาแล็กซีแอนโดรเมดา (Andromeda Galaxy) อยู่ห่างออกไปจากโลก 2.5 ล้านปีแสง และเป็นวัตถุที่ไกลที่สุดที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า.*
5. “ใจกลางทางช้างเผือก” ตำแหน่งที่ท้องฟ้างดงามอลังการที่สุด
– ทางช้างเผือกที่เรามองเห็นบนท้องฟ้าจะมีลักษณะเป็นแนวยาวที่พาดผ่านจากทิศเหนือไปทิศใต้. แต่ละตำแหน่งจะมีดาวฤกษ์กระจายตัวหนาแน่นไม่เท่ากัน, โดยใจกลางทางช้างเผือกจะมีดาวฤกษ์และวัตถุท้องฟ้าอยู่หนาแน่นมากที่สุด อยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยิงธนู. ท้องฟ้าในบริเวณนี้จะมีดวงอาทิตย์ระยิบระยับราว, มีแนวเมฆสว่างสลับกับแนวทึบแสงที่เป็นกลุ่มฝุ่นหนาทึบภายในทางช้างเผือก. หากใช้กล้องสองตาส่องกราดบริเวณนี้, จะเห็นดาวฤกษ์ระยิบระยับราวกับเม็ดทราย และยังมีวัตถุในห้วงอวกาศลึกอยู่หนาแน่น เช่น เนบิวลา และกระจุกดาวต่าง ๆ.
6.หลุมดำยักใจกลางทางช้างเผือก
– ที่ใจกลางทางช้างเผือก, มีหลุมดำมวลยวดยิ่ง (Supermassive Black Hole) ที่ถูกตั้งชื่อว่า Sagittarius A*. นักดาราศาสตร์พบว่ามีดาวฤกษ์กำลังเคลื่อนที่โคจรรอบโลก, แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ในช่วงคลื่นที่ตามองเห็น. วัตถุที่มีมวลเท่ากับ 4 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์แต่มีขนาดเล็กเท่าระบบสุริยะของเรา. นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่บ่งบอกถึงการมีหลุมดำยักษ์ในใจกลางทางช้างเผือก.
7. WiFi ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เริ่มต้นจากการค้นหาหลุมดำในทางช้างเผือก
– ในปี 1970, John O’Sullivan วิศวกรชาวออสเตรเลีย, ทำงานร่วมกับนักดาราศาสตร์เพื่อค้นหาหลุมดำขนาดเล็กตามที่ Stephen Hawking ได้ทำนาย. การตรวจจับหลุมดำนี้ยากมาก, แต่ O’Sullivan พัฒนาเทคนิคการประมวลผลข้อมูลใหม่เพื่อแยกข้อมูลคลื่นวิทยุจากหลุมดำออกจากคลื่นวิทยุพื้นหลัง. แม้จะไม่ได้ค้นพบหลุมดำตามที่คาดหวัง, วิธีการประมวลผลนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในพัฒนาเทคโนโลยี WiFi ที่ใช้กันทุกวัน.
8.โลกอยู่ตรงไหนของทางช้างเผือกครับ
– กาแล็กซีทางช้างเผือกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นหรือ “Local Group” ที่มีขนาดกว่า 10 ล้านปีแสง. มีกาแล็กซีสมาชิกมากกว่า 80 กาแล็กซี, โดยมี กาแล็กซีแอนโดรเมดา, กาแล็กซีทางช้างเผือก, และ กาแล็กซีสามเหลี่ยม เป็น 3 อันดับแรก. ระบบที่ใหญ่กว่า Local Group คือ กระจุกกาแล็กซีหญิงสาว (Virgo Supercluster). ทั้งนี้เป็นโลกของกาแล็กซีที่มีขนาดใหญ่มาก.