โรคเก๊าต์ สาเหตุ อาการ การรักษา อาหารอะไรไม่ควรกิน

โรคเก๊าต์ สาเหตุ อาการ การรักษา อาหารอะไรไม่ควรกิน | โรงพยาบาลวิภาวดี  (Vibhavadi Hospital)

โรคเกาต์: ภัยที่อยู่ใกล้เคียง

โรคเกาต์ เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ร่วมกับมีอาการที่เกิดจากการตกผลึกของกรดยูริก ในรูปแบบผลึกยูเรตในข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ ซึ่งสามารถส่งผลทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันของข้อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อ หรือเกิดปุ่มก้อนของผลึกยูเรตภายในข้อและใต้ชั้นผิวหนังรอบๆ ข้อ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วในไตด้วย

สาเหตุของโรคเกาต์

โรคเกาฑ์ มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการสะสมกรดยูริค (Uric acid) ในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการเผาผลาญสารพิวรีน ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่ร่างกายสามารถสร้างได้และมีในอาหารหลายชนิด การสะสมของกรดยูริคนี้สามารถทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงในกระดูกและรอบๆ ข้อกระดูก โดยปกติแล้วไตจะทำหน้าที่ขับกรดยูริคออกจากร่างกายให้ทันต่อการสร้างใหม่

อาการของโรคเกาต์

– ปวด บวม แดง และร้อนโดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า
– อาการปวดมักเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ
– พบการอักเสบของเกาต์ได้ทุกข้อ โดยมากพบบ่อยที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า และข้อนิ้ว

การปฏิบัติตนสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  (สสส.)

การรักษาและการป้องกัน

ในช่วงที่มีข้ออักเสบ สามารถรักษาโดยการใช้ยาแก้ปวดและยาลดอาการอักเสบ เช่น Paracetamol และ Colchicine โดยควรพักและดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันการตกตะกอนของกรดยูริค การหลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินและการบีบนวดข้อที่อักเสบก็เป็นสิ่งสำคัญ

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

– อาหารที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัมควรงดหรือหลีกเลี่ยง เช่น ตับ ไต และเนื้อสัตว์ต่างๆ
– อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง หรือปริมาณพิวรีนอยู่ระหว่าง 50-150 มิลลิกรัมสามารถทานได้ในปริมาณจำกัด เช่น เนื้อปลา กุ้ง ถั่ว และผักต่างๆ
– อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย โดยมีปริมาณต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมสามารถทานได้โดยไม่แสดงอาการ เช่น ข้าว ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนม

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารและการดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคเกาต์อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ

ตารางเมนูอาหารสำหรับโรคเก๊าต์ 1 สัปดาห์ ครบ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

  1. รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์: การรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดอย่างเหมาะสม ควรรักษาการรับประทานยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปีจนกระทั่งไม่มีการตกตะกอนของกรดยูริก เมื่อมีอาการท้องเดินปวดหรือมีการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  2. ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ และช่วยลดความเข้มข้นของปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์
  3. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อาจทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ เช่น เบียร์และเหล้า เพื่อป้องกันการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย
  4. งดอาหารจำพวกเครื่องในสัตว์: อาหารที่มีส่วนประกอบของสารพิวรีนที่มาจากสัตว์อาจส่งผลให้กรดยูริกในร่างกายเพิ่มขึ้น จึงควรลดหรืองดการบริโภคอาหารจำพวกนี้ เช่น ตับ ไต และเนื้อสัตว์ต่างๆ
  5. มาพบแพทย์ตามนัด: การติดตามอาการและประเมินความเสี่ยงจากโรคเกาต์โดยแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปรับการรักษาและการดูแลต่อไปอย่างเหมาะสม
  6. รักษาหรือลดน้ำหนัก: การรักษาหรือลดน้ำหนักเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์และช่วยควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ได้บางส่วน

เป็น“เก๊าท์”ห้ามกินไก่...จริงหรือ?