ปัญหาอุจจาระร่วงในเด็ก: ทำความรู้จักกับสาเหตุที่อาจมีทั้งแบคทีเรียและไวรัส
1. โรคอุจจาระร่วงคืออะไร?
โรคอุจจาระร่วงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็ก, โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี การศึกษาพบว่าเด็กกลุ่มนี้มีอาการอุจจาระร่วงประมาณ 5-6 ครั้งต่อปี สาเหตุหลักมาจากเชื้อไวรัสประมาณ 50-60%, เชื้อแบคทีเรียประมาณ 30%, และสาเหตุอื่นๆ เช่น อาหารเป็นพิษ
2. การเกิดของโรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วงเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเข้าไป การปนเปื้อนนี้ส่วนใหญ่เกิดจาก:
- การไม่ล้างมือให้สะอาด, หลังจากใช้ห้องน้ำ, ห้องส้วม, ก่อนปรุงอาหาร, หรือก่อนรับประทานอาหาร
- เด็กที่ชอบดูดหรืออมนิ้วมือและหยิบของที่ตกพื้นเข้าปาก
- การรับเชื้อจากการผสมนมโดยใช้น้ำที่ไม่ได้ต้มเดือดหรือขวดนมที่ไม่ได้ต้มให้สะอาดหรือไม่ได้ล้างมือ
- การทานอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน, หรือมีแมลงวันตอม
- การดื่มน้ำที่ไม่สะอาด, ไม่ผ่านการกรอง, หรือต้ม
3. อาการของโรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วงหมายถึงการถ่ายอุจจาระเหลว 3 ครั้งหรือมากกว่า, หรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งใน 1 วัน นอกจากนี้, ถ้าถ่ายอุจจาระมีมูกหรือปนเลือด 1 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นโรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วงในเด็ก: วิธีรักษาและเฝ้าระวังสัญญาณอันตราย
4. การดูแลเมื่อบุตรมีอาการอุจจาระร่วง
เมื่อเด็กมีอาการท้องร่วง หรือมีอาเจียน, ควรให้เด็กได้รับน้ำเพียงพอ, ให้ดื่ม ORS หรือสารละลายเกลือแร่ทีละน้อย บ่อยๆ, และหากเด็กรับได้ดี หลังจาก ORS ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เริ่มให้นมมารดาหรือนมผสมครั้งละน้อย หรืออาหารพวกข้ามต้มเปล่าหรือโจ๊ก เปล่า ถ้าเด็กรับได้และดีขึ้น ก็ค่อยเพิ่มชนิดอาหารและปริมาณมากขึ้น ถ้า เด็กมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ถ่ายเป็นน้ำครั้งละมากๆ อ่อนเพลีย หรือมีไข้สูง ปัสสาวะน้อย อุจจาระเป็นมูกเลือด ควรนำเด็กมาพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องต่อไป
5. ยาหยุดถ่าย ควรให้เด็กกินหรือไม่?
ในเด็กไม่ควรรับประทานยาหยุดถ่าย เพราะเมื่อกินแล้วการถ่ายจะหยุดไป แต่อาการอุจจาระร่วงไม่ได้หายอย่างแท้จริง จะมีน้ำอุจจาระขังในลำไส้ ถ้ากินมากท้องจะอืด และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากโดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
เอาใจใส่การป้องกันอุจจาระร่วงในเด็ก: คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
6. วิธีป้องกันโรคอุจจาระร่วง
- เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนมแม่สะอาดและมีภูมิคุ้มกันโรคอุจจาระร่วง
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หลังจากใช้ห้องน้ำหรือห้องส้วมและก่อนปรุงอาหารหรือรับประทานอาหารทุกครั้ง
- รับประทานอาหารที่สุกใหม่ๆ และดื่มน้ำที่สะอาด
- กำจัดแหล่งเพาะแมลงวัน ขยะในบ้านควรเก็บทิ้งในถังมีฝาปิดมิดชิดทุกวัน
- เท หรือ ถ่ายอุจจาระลงส้วมทุกครั้ง
- เก็บอาหารไม่ให้แมลงวันตอมหรือเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อจะทำให้เชื้อโรคแบ่งตัวช้าลง