เวียงหนองหล่มตำนาน เวียงโยนกนาคพันธุ์

เกาะแม่หม้าย – เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ตำนาน เวียงโยนกนาคพันธุ์ เมืองโบราณที่เชียงราย อดีตที่ล่มสลาย จมมหานที ยาวนานนับพันปี

ตำนาน เวียงโยนกนาคพันธุ์ เมืองโบราณที่เชียงราย อดีตที่ล่มสลาย จมมหานที  ยาวนานนับพันปี – ข่าวมุมเหนือ

เวียงหนองหล่ม เป็นพื้นที่สาธารณะที่มีลักษณะเป็นแอ่งรับน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอแม่จันและจังหวัดเชียงราย พื้นที่นี้มีอาณาบริเวณที่ติดต่อกับ 3 ตำบลและ 2 อำเภอ ได้แก่ ต.จันจว้า, ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน และ ต.โยนก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พื้นที่นี้ถูกแบ่งสันปันน้ำประมาณ 60,000 ไร่ แต่ในปัจจุบันมีพื้นที่คงเหลือประมาณ 15,000 ไร่ เนื่องจากมีการบุกรุก ครอบครอง และออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนไปแล้ว มีการทำลายสภาพแวดล้อมโดยประชาชนที่ไม่เข้าใจทั้งในมิติการใช้ประโยชน์และการรักษาความสมดุลของพื้นที่ ทำให้เกิดความเสียหายที่มีมากมาย รวมถึงการสูญเสียแหล่งโบราณคดีที่มีความคุณค่าทางประวัติศาสตร์และธรณีวิทยา ที่ถูกทำลายโดยสาเหตุต่าง ๆ ทั้งนี้ทำให้สภาพพื้นที่ในปัจจุบันยังคงเป็นหนองน้ำธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศน์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ประกอบด้วย หนองน้ำ ทุ่งหญ้า ป่าไม้ สัตว์น้ำ และนกหลากหลายชนิด ชาวบ้านมักเรียกพื้นที่นี้ว่า “เมืองหนอง” หรือ “เวียงหนอง” หรือในบางครั้งก็เรียกว่า “เวียงหนองหล่ม” โดยมีปัจจุบันมีความเป็นที่น่าเสียดายเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายลงไปและการสูญเสียแหล่งโบราณคดีที่มีค่าอันทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์และธรณีวิทยาของพื้นที่นี้

ตำนาน เวียงโยนกนาคพันธุ์

ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ต่างกล่าวไว้ว่า เทวกาล เจ้าผู้ครองเมืองนครไทยเทศในยูนนาน ได้ให้ราชบุตรแยกย้ายกันไปสร้างบ้านแปงเมือง สิงหนวัติกุมารจึงได้นำผู้คนอพยพมาสร้างเวียงขึ้นในเขตลุ่มแม่น้ำกก ตำนานระบุว่า พญานาค ได้มาช่วยสร้าง จึงเรียกชื่อเมืองแห่งนี้ว่า “นาคพันธุ์สิงหนวัติ” หรือ “เวียงโยนกนาคพันธุ์” มีกษัตริย์ปกครองต่อมาถึง 45 พระองค์ จนในที่สุดเวียงโยนกนาคพันธุ์ก็ล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำ เนื่องจาก ชาวเมืองเวียงโยนกนาคพันธุ์ได้ตั้งท่าทางน้ำที่แม่น้ำและพบปลาไหลเผือกตัวใหญ่เท่าลำตาล. ชาวเมืองจึงตัดสินใจช่วยกันจับปลานี้มาถวายเป็นเจ้าเมือง, ซึ่งถือเป็นบุญของชาวเมืองทั้งหลาย. เพื่อแบ่งปันความอิ่มหนำและสุข, ชาวบ้านต่าง ๆ ได้ตัดปลาออกมาแบ่งกันกินทั่วเมือง. แต่มีแค่แม่ม่ายชื่อว่า “แม่บัวเขียว” คนเดียวที่ไม่ได้กินปลานั้น.

ในหลังคาค่ำคืนนั้น, เกิดเหตุอาเพศที่ทำให้ท้องฟ้ามืดมนและเกิดเสียงแผ่นดินสั่น. อย่างที่เล่าต่อกันมา, เมืองโยนกนาคพันธุ์ถูกทำลายสามครั้งในยามค่ำคืน, จนถึงสามครั้งที่ยามฟ้าสาง, เมืองโยนกนาคพันธุ์ล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่. สิ้นเปลืองเหลือเพียงบ้านแม่ม่ายคนเดียวที่รอดชีวิต, จึงทำให้บริเวณนี้ถูกเรียกว่า “เกาะแม่ม่าย.” เวียงหนองล่มหรือเวียงหนองหล่ม กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกสถานที่นี้ในปัจจุบัน. นับเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ที่เชื่อว่าเกิดขึ้นเนื่องจากการบรรยายตามวิทยาการท้องถิ่น, การกระทำของชาวเมืองในการกินปลาไหลเผือกได้ส่งผลทำให้เกิดเหตุอาเพศที่ทำลายเมืองโยนกนาคพันธุ์. ทั้งนี้, ทฤษฎีว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากแผ่นดินไหลเลื่อนในแถบรอยเลื่อนแม่จัน, ที่มีความยาวตั้งแต่ อ.ฝาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ไปถึง อ.แม่จัน อ.เชียงแสน อ.เชียงของ จ.เชียงราย, และยาวไปจนถึงประเทศลาว, ยังถูกเชื่อว่าเป็นผลมาจากรอยเลื่อนที่มีอิทธิพลมากมายในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นเวียงหนองหล่ม - Fun-D

หลักฐานทางโบราณคดี

พื้นที่เวียงหนองหล่ม เป็นที่ตั้งของหลายหลักฐานทางโบราณคดีที่ชาวบ้านได้ค้นพบ ซึ่งประกอบด้วยเศษซากข้าวของ, เครื่องใช้ในครัวเรือน, และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล้องยาสูบดินเผา, เครื่องรางของขลัง, พระเครื่อง, และพระพุทธรูป ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ. หนึ่งในสมมุติฐานที่ถูกนำเสนอคือการล่มสลายของอาณาจักรโยนกนาคนคร, ซึ่งอาจมีต่อเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา และทำให้เมืองโยนกนาคพันธุ์ถูกทำลายลงเป็นหนองน้ำใหญ่.

นอกจากนี้, พื้นที่กลางของเวียงหนองหล่มยังมีหนองน้ำร้อน (น้ำพุร้อน), ซึ่งสามารถเกิดจากรอยเลื่อนแม่จัน – เชียงแสน ที่ลากผ่านบริเวณนี้. การศึกษาทางชีววิทยาของศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พบว่าพืช 286 ชนิด, นก 96 ชนิด, และปลามากกว่า 22 ชนิดมีอยู่ในระบบนิเวศน์ นอกจากนี้, พื้นที่นี้ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์มากมายอย่างวัวและควาย, ที่มีประโยชน์ต่อชุมชนในการเพาะปลูก, การเลี้ยงสัตว์, และการใช้น้ำในภาคฤดูแล้ง.

ทั้งนี้, เวียงหนองหล่มเป็นแหล่งสำคัญที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ, ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, และมีความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม. ดังนั้น, การพัฒนาและอนุรักษ์พื้นที่นี้จะสามารถนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, การศึกษาทางโบราณคดี, และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในอนาค