เลือกซื้อไข่เยี่ยวม้าอย่างไรให้ปลอดภัยจากสารพิษ?

ไข่เยี่ยวม้า ที่หลายคนคุ้นเคยและรู้จัก จะมีลักษณะดังนี้ ไข่ขาวเป็นวุ้นสีชา และมีการทาเปลือกไข่ให้หลากหลายสี อาจมีสีดำหรือสีแดงขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต แต่โดยทั่วไปจะมีการทาเปลือกไข่เยี่ยวม้าเป็นสีชมพู เหตุผลที่ทาสีที่ต่าง ๆ เนื่องจากต้องการสร้างความแตกต่างกับไข่เค็ม ซึ่งมีเปลือกสีขาวแบบธรรมดา การผลิตไข่เยี่ยวม้าเป็นกระบวนการถนอมอาหารที่ใช้วัสดุดิบที่มีความเป็นด่าง ซึ่งสารที่ใช้ในการถนอมอาหารมีเกลือ หรือ สารโซเดียมคาร์บอเนต (ฟู๊ดเกรด) รวมถึงการใช้ปูนขาว ขี้เถ้า และชาเพื่อช่วยถนอมไข่เยี่ยวม้าไม่ให้ไข่เน่าเสีย อีกทั้งไข่เยี่ยวม้ายังเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ทำอาหารหลากหลายอย่างอีกด้วย

ต้นกำเนิดของไข่เยี่ยวม้า

ไข่เยี่ยวม้าคือผลผลิตจากการถนอมอาหารหรือการแปรรูปไข่เพื่อการบริโภคในรูปแบบที่เป็นที่รู้จักมาแต่โบราณในวงการอาหารของคนจีน ที่มีชื่อเรียกว่า ‘เฮวี่ยหม่า’ หรือ ‘จี๋ไฮ่’ กระบวนการผลิตนี้ใช้กรรมวิธีทำให้ไข่เป็นด่าง สามารถนำไข่ไปแช่หรือหมักในส่วนผสมที่เป็นด่าง ซึ่งทำให้เนื้อด้านในมีลักษณะเนื้อสัมผัสที่เด้งกรอบได้ กระบวนการนี้สามารถทำได้กับไข่เป็ด ไข่ไก่ และไข่นกกระทา

ตามตำนานที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ไข่เยี่ยวม้ามีกำเนิดมากว่าห้าศตวรรษ โดยถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 600 ปีที่ผ่านมาในมณฑลหูหนานในสมัยราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) ตำนานระบุว่า มีเจ้าของบ้านค้นพบไข่เป็ดในบ่อปูนขาวที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านของเขา หลังจากลองชิมแล้วพบว่ามีกลิ่นรสเฉพาะตัวและสามารถทานได้ จึงเริ่มทำเพื่อขาย กระบวนการนี้นำไข่เป็ดดิบมากลบอยู่ในบ่อปูนขาวประมาณ 2 เดือนและเติมเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ

มีข้อสันนิษฐานว่าคำว่า “ไข่เยี่ยวม้า” เป็นคำพ้องเสียงจากคำว่า “เฮวี่ยเม่า” ซึ่งแปลว่า ห่อขี้เถ้า หรือไข่ห่อขี้เถ้า ในภาษาจีนฮกเกี้ยน ก่อนที่จะกลายเป็น “ไข่เยี่ยวม้า” นั่นเอง สอดคล้องกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงปฏิกริยาของกำมะถันในโปรตีนของไข่ที่สามารถกลายเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์และแอมโมเนีย ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะที่คล้ายกับลักษณะกลิ่นของปัสสาวะสัตว์

เมนูสุดฮิตจากไข่เยี่ยวม้า

  • ไข่เยี่ยวม้ากะเพราะกรอบ
  • ยำไข่เยี่ยวม้า
  • ไข่เยี่ยวม้าฟูกรอบ
  • เต้าหู้เย็นไข่เยี่ยวม้า
  • โจ๊กไข่เยี่ยวม้า

การรับประทานไข่เยี่ยวม้าปลอดภัยหรือไม่?

กระบวนการผลิตไข่เยี่ยวม้าในปัจจุบัน จะมีพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มที่ผลิตไข่เยี่ยวม้าโดยใช้สารตะกั่วออกไซด์หรือซัลไฟด์ในส่วนผสม สำหรับพอกหรือแช่ไข่เยี่ยวม้า เพื่อเร่งกระบวนการแปรรูปและเพิ่มผลผลิต และทำให้เกิดการตกค้างและปนเปื้อนของสารตะกั่วได้ ซึ่งการบริโภคอาหารที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนสะสมเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกและกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระดูก ไต ระบบประสาท และอาจส่งผลกระทบถึงกล้ามเนื้อกระดูกข้อเท้าและข้อข้อเท้า

โดยอาการเริ่มต้นหลังจากได้รับพิษจากตะกั่วที่ปนเปื้อนมากับไข่เยี่ยวม้า นั้นมักจะมีอาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้องรุนแรง, และท้องเสียได้ บางรายอาจมีอาการทางระบบประสาทส่วนปลาย เช่น อาการกล้ามเนื้อแขนและขาอ่อนแรง, กระสับกระส่าย, นอนไม่หลับ, อารมณ์ฉุนเฉียว, หากร่างกายได้รับตะกั่วเข้าไปในปริมาณสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต อาจมีอาการชัก, หมดสติ, และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้

นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับสารตะกั่วเป็นระยะเวลานาน มักจะมีภาวะซีด, โลหิตจาง, อ่อนเพลีย, ปวดศรีษะ, มึนงง, และความดันโลหิตสูง ส่วนไตและสมองอาจถูกทำลาย และมักพบว่ามีอาการตัวเหลืองและตาเหลืองร่วมด้วย

รับประทานไข่เยี่ยวม้าอย่างไรให้ปลอดภัย?

  1. ตรวจสอบความสดของไข่ : ดูลักษณะของเนื้อไข่ว่ามีลักษณะใสหรือไม่ หากเนื้อไข่มีลักษณะเป็นสีดำขุ่น อาจแสดงว่าไข่เยี่ยวม้านั้นอาจมีสารตะกั่วที่เป็นอันตราย จึงควรตรวจสอบความสดของไข่ก่อนการเลือกซื้อ
  2. ควรเลือกซื้อไข่เยี่ยวม้าจากร้านที่มีมาตรฐานสูง และมีการดูแลรักษาความสะอาดและความปลอดภัยในการจัดเก็บและจัดส่ง
  3. ควรตรวจสอบกลิ่นของไข่เยี่ยวม้า ว่ามีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นผิดปกติหรือไม่ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าไข่นั้นเน่าเสีย
  4. เพื่อรับประโยชน์และความปลอดภัยมากที่สุด ควรรับประทานไข่เยี่ยวม้าควบคู่กับเมนูอื่น ๆ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลายและสมดุลย์มากขึ้น
  5. ก่อนและหลังการรับประทานไข่เยี่ยวม้า ควรล้างมืออย่างระมัดระวังด้วยสบู่และน้ำสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค
  6. หลีกเลี่ยงการรับประทานไข่เยี่ยวม้าที่ไม่สดหรือมีคราบสกปรก หรือหากมีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากการรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์ทันที