หากจะกล่าวถึงหนึ่งในกีฬายอดนิยมของคนทั่วโลก “ฟุตบอล” คือกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของรวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน นอกจากจะรับชมเพื่อการบันเทิงแล้วแล้ว คนไทยยังนิยมเล่นฟุตบอลเพื่อกระชับมิตรภาพหรือออกกำลังกายอีกด้วย และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเล่นกีฬาฟุตบอลก็คือ “ลูกฟุตบอล” นั่นเอง
ลูกฟุตบอลที่มีขายในท้องตลาดนั้นมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ มีความแตกต่างกัน ทั้งขนาด วัสดุ รวมไปถึงมีขนาดเบอร์ต่าง ๆ ที่เหมาะกับระดับอายุเป็นต้น หากไม่รู้ความแตกต่างตรงนี้ก็อาจจะซื้อลูกฟุตบอลมาโดยไม่ตอบโจทย์สำหรับการเล่นฟุตบอลของเราได้
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับการเลือกซื้อลูกฟุตบอลที่ถูกวิธี มีเรื่องใดบ้างที่เราควรพิจารณาให้ดีก่อนซื้อ
1. ขนาดลูกฟุตบอล
ขนาดของลูกฟุตบอลแบ่งออกเป็น 5 เบอร์ ได้แก่
- เบอร์ 1: เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
- เบอร์ 2: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 5-8 ขวบ
- เบอร์ 3: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 8-12 ขวบ
- เบอร์ 4: เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป
- เบอร์ 5: เหมาะสำหรับการแข่งขันระดับสูง
2. วัสดุของลูกฟุตบอล
ลูกฟุตบอลทำมาจากวัสดุหลายหลายประเภท ดังนี้
- หนังแท้: ให้ความรู้สึกนุ่มมือ สัมผัสดี แต่ราคาสูง
- หนังสังเคราะห์: ให้ความรู้สึกใกล้เคียงหนังแท้ ทนทาน ราคาไม่สูงมาก
- พลาสติก: น้ำหนักเบา ราคาประหยัด แต่ทนทานน้อยกว่าหนังแท้และหนังสังเคราะห์
3. ประเภทของลูกฟุตบอล
ลูกฟุตบอลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- ลูกฟุตบอลเย็บมือ: ซึ่งมีคุณสมบัติ ทนทาน เก็บลมได้ดี แต่ราคาสูง
- ลูกฟุตบอลเย็บเครื่องจักร: จะมีราคาที่ถูกกว่าลูกฟุตบอลเย็บมือ แต่เก็บลมได้ไม่ดีเท่าแบบเย็บมือ
4. มาตรฐานลูกฟุตบอล
ลูกฟุตบอลที่ผลิตออกมาจำหน่ายจะมีมาตรฐานรับรองคุณภาพ เช่น
- FIFA QUALITY: มาตรฐานลูกฟุตบอลสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติ
- FIFA QUALITY PRO: มาตรฐานลูกฟุตบอลสำหรับการแข่งขันระดับสูง
5. คำแนะนำในการเลือกซื้อลูกฟุตบอล
- ควรเลือกลูกฟุตบอลที่มีขนาดและน้ำหนักเหมาะสมกับระดับความสามารถและวัยของผู้ใช้งาน
- ควรเลือกลูกฟุตบอลที่ทำจากวัสดุคุณภาพดี ทนทานต่อการใช้งาน
- ควรเลือกลูกฟุตบอลที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพ
เพียงพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ เราก็จะสามารถเลือกซื้อลูกฟุตบอลที่ตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานได้อย่างคุ้มค่า