สาเก: เอกลักษณ์ของเครื่องดื่มญี่ปุ่น

สาเก: เครื่องดื่มดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ไม่ใช่เหล้าทำจากข้าว

สาเก (Sake) เป็นเครื่องดื่มที่มีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่นอย่างมหาศาล ไม่แปลกที่ว่าผู้คนที่เดินทางมายังประเทศนี้จะได้พบกับเครื่องดื่มนี้อยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มีผู้คนหลายคนที่มองว่าสาเกเป็นเหล้าที่ทำจากข้าว แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ในทางที่คิด

สาเกนั้นทำจากการหมักข้าวที่มีชื่อเรียกว่า “ไรจุ” (Rice Koji) ซึ่งเป็นกลุ่มของเชื้อราที่ถูกใช้ในกระบวนการหมักเหล้า โดยใช้ไรจุนี้ในการหมักข้าว ซึ่งมีการเพิ่มน้ำและเอนไซม์ที่เรียกว่า “อะมิไล” (Amylase) เพื่อให้สาเกเกิดขึ้น กระบวนการหมักนี้เป็นที่มาของรสชาติและกลิ่นหอมที่พิเศษของสาเก

ดังนั้น สาเกไม่ใช่เหล้า แม้ว่ามันมีความเสมอภาคที่สูงถึงประมาณ 15-20% โดยปริมาณ แต่มันไม่ได้ผ่านกระบวนการกลั่นเหมือนกับเหล้าที่ทำจากองุ่นหรือมาลัด สาเกมีรสชาติที่หลากหลาย ตั้งแต่รสชาติอ่อนจนถึงรสชาติเข้มข้น มีรสชาติที่หวานน้อยน้อยจนถึงรสชาติที่หวานเข้มข้น ผสมผสานกับกลิ่นหอมที่ทอดตัวออกมาจากกระบวนการหมักของไรจุและอะมิไล ทำให้สาเกมีความหลากหลายและน่าสนใจอย่างมาก

ดังนั้น เมื่อคุณได้พบกับสาเกในร้านอาหารญี่ปุ่นหรือบริเวณท่องเที่ยว อย่างแน่นอนว่าคุณจะได้พบกับประสบการณ์ทางการกินที่น่าทึ่งและน่าจดจำที่สาเกเพื่อให้คุณเข้าใจว่ามันไม่ใช่เหล้าที่ทำจากข้าว แต่เป็นเครื่องดื่มที่มีความเฉพาะเจาะจงและน่าสนใจของประเทศญี่ปุ่น

สาเก: เครื่องดื่มที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่น

สาเก (Sake) เป็นเหล้าชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่นที่มีความสำคัญอย่างมาก มันมีรสชาติที่หลากหลาย ซึ่งรสชาติที่ดีจะขึ้นอยู่กับปริมาณของข้าวที่ถูกขัดออก ยิ่งมีการขัดข้าวออกมากเท่าไหร่รสชาติก็จะยิ่งดีขึ้น ปกติแล้วสาเกจะมีการขัดข้าวออกประมาณ 30% – 50% ของทั้งปริมาณข้าว

สาเกมักถูกใช้ในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ และเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมทางศาสนาด้วย ความเป็นมาและเรื่องราวของสาเกมีความซับซ้อน มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวญี่ปุ่นที่ทำให้สามารถพบเห็นการดื่มสาเกได้บ่อยครั้งในฉากสำคัญของภาพยนตร์ ซีรีส์ และอนิเมชัน ญี่ปุ่น

เส้นทางสู่ต้นกำเนิดแห่งสาเก: มรดกของวัฒนธรรมญี่ปุ่น

การสาเกมีต้นกำเนิดที่น่าสนใจและข้อมูลเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ในสาเก ที่นี่เป็นบทความที่จะช่วยเจาะลึกให้คุณเข้าใจถึงเส้นทางแห่งสาเก ตั้งแต่ต้นตอจากประวัติศาสตร์มาจนถึงวัฒนธรรมปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น

สำหรับผู้ที่ค่อนข้างทราบเรื่องการดื่มสาเกอย่างลึกซึ้ง อาจสงสัยถึงระดับของแอลกอฮอล์ในสาเกว่าจะเมาหรือไม่ เรามาค้นหาคำตอบในส่วนนี้!

สาเกมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ต่างกัน ระหว่าง 10 – 20% ขึ้นอยู่กับชนิดของสาเก และประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม สาเกไม่ได้ทำให้คนเมาอย่างรุนแรงเหมือนเหล้าที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมาก

สาเกมีต้นกำเนิดจากประเทศจีนในยุคเอโดะ และถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งประชาชนญี่ปุ่นมองว่าเป็นเหล้าศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมการถวายสาเกให้กับเทพเจ้าในทุกปี เป็นการแสดงให้เห็นถึงการรับรู้และการใช้ชีวิตตามคำแนะนำของพระเจ้า

ผลิตสาเกที่แตกต่างกันอาจพบได้ตามภูมิภาค แต่วิธีการผลิตสาเกในสมัยเอโดะยังคงเป็นพื้นฐานที่สำคัญอยู่ในปัจจุบัน

สาเก: ประเภทและลักษณะที่ต่างกัน

เซชุ (สาเกบริสุทธิ์): เป็นส่วนผสมหลักที่นำมาผสมกับสาเกอื่น ๆ มีทั้งแบบหวานและแบบดราย ผ่านกระบวนการหมัก กรอง ฆ่าเชื้อ และนำไปเจือจางจนใส เพื่อให้ได้รสชาติอันกลมกล่อม สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในร้านขายแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่น

ฮงโจโซ: สาเกเซชุที่ผ่านกระบวนการกลั่นอย่างละเอียด และเน้นไปที่รสชาติเป็นหลัก มีอัตราการสีข้าว 70% หรือต่ำกว่า

กินโจ: สาเกระดับพรีเมียมที่มีกลิ่นผลไม้เพิ่มความหอม อัตราการสีข้าวอยู่ที่ 60%

ไดกินโจ: เป็น NO.1 ของวงการสาเก มีอัตราการสีข้าวอยู่ที่ 50% และมีกลิ่นหอม รสชาติละมุน มีความนิยมสูงและเป็นที่ต้องการของคนที่ชื่นชอบสาเก นอกจากนี้ยังเป็นไอเท็มที่หาซื้อได้ง่ายและเป็นของฝากที่น่าสนใจในวงการแอลกอฮอล์ญี่ปุ่น

จุนไม: เรียกอีกชื่อว่า “สาเกข้าวบริสุทธิ์” ไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ เนื่องจากประกอบด้วยข้าว น้ำ หัวเชื้อโคจิ และยีสต์ มีรสชาติไม่หวาน

นามะซาเกะ: มีรสชาติของผลไม้ซ่อนอยู่ ดื่มเข้าไปแล้วจะให้ความสดชื่น แต่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์และความร้อนที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ใช้ในการหมัก

เกนชุ: มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 18 – 20% เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบดื่มสาเกที่มีความเข้มข้น

สาเกสีขาวขุ่น: ไม่ผ่านการกรอง สีขาวขุ่น มีความหวานและส่วนเศษข้าวเล็ก ๆ ที่ใช้ในการหมักเหลืออยู่ใต้ขวด

สาเกประเภทอื่น ๆ: เช่น โคชุ เป็นสาเกที่ผ่านการหมักอย่างยาวนาน, คิโมโตะ สาเกที่บดด้วยมือ, และ ฮิยาโอโรชิ สาเกประจำฤดูกาลใบไม้ร่วง

เคล็ดลับในการเลือกซื้อสาเกญี่ปุ่น

  1. ชื่อของสาเก: สำหรับการเลือกซื้อสาเกที่ต้องการ ควรรู้ชื่อและหน้าตาบนฉลากของสาเกที่ต้องการซื้อไปคร่าว ๆ เพื่อช่วยให้สามารถจำได้ง่ายและเข้าใจว่าเป็นชนิดที่เราต้องการหรือไม่
  2. อัตราการขัดสีข้าว: ควรทราบว่าบนฉลากจะมีการแสดงร้อยละของการขัดสีข้าว เช่น 50%, 60%, 70% เป็นต้น โดยที่ร้อยละการขัดสีข้าวส่วนใหญ่จะอยู่ที่เลขเท่านี้
  3. ชนิดหรือประเภทของสาเก: ควรทราบประเภทหรือชนิดของสาเกที่ต้องการซื้อ เพื่อให้ได้รสชาติและลักษณะที่ต้องการ
  4. อายุของผลิตภัณฑ์: ควรเลือกสาเกที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี เพื่อความสดชื่นและคุณภาพที่ดีที่สุด
  5. ปริมาณแอลกอฮอล์: ควรเลือกสาเกที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 14 – 20% เพื่อความสมดุลและความเข้มข้นที่เหมาะสม
  6. ปริมาณของสาเก: สาเกจะมีจำหน่ายในขนาด 1,800 มล., 720 มล., และ 300 มล. ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา
  7. ตำแหน่งของโรงกลั่น: สำหรับผู้ที่ต้องการชิมสาเกหรือซื้อสาเกท้องถิ่นตามแบบดั้งเดิม ควรศึกษาตำแหน่งของโรงกลั่นด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้สาเกที่มีคุณภาพและกลิ่นรสชาติที่แท้จริง

9 สาเก เหล้าญี่ปุ่น ยอดนิยมที่ควรลองต้องสามารถ

  • Nakano BC – KOZUE: สาเกญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะสำหรับผู้หัดดื่ม

Nakano BC – KOZUE” เป็นสาเกญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและถือว่าเป็นหนึ่งในระดับสากล เสริมด้วยกลิ่นหอมของเปลือกส้มแมนดาริน ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่เริ่มลองดื่มสาเก นอกจากนี้ยังมีรสชาติของซันโซ (พริกไทยญี่ปุ่นของเมืองวาคายามะ) ซึ่งทำให้รู้สึกรสชาติที่คงค้างอยู่ในลำคอ นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับนำมาเป็นของฝากหรือของขวัญได้อย่างดี

  • Asahi Shuzo – Senshin: สาเกญี่ปุ่นที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม

Asahi Shuzo – Senshin” เป็นหนึ่งในสาเกที่มีคุณภาพดีที่สุดที่ผลิตออกมาด้วยกระบวนการที่พิถีพิถัน โดยใช้เวลาถึง 72 ชั่วโมงในการผลิต และมีอัตราการขัดข้าวจนละเอียดถึง 28% ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและค่อนข้างบาดคอ ดังนั้นเหมาะสำหรับเป็นของฝากที่ดีที่สุดในระดับเหล้าญี่ปุ่น

  • Asahi Shuzo – Kubota 1-9-2-0 Junmai Daiginjo: สาเกที่มีประวัติยาวนาน

คุโบตะ 1920 Junmai Daiginjo” จากโรงกลั่นสุราอาซาฮีที่ก่อตั้งในปี 1920 เป็นสาเกที่มีคุณภาพสูงและมีรสชาติชั้นเยี่ยม มีลักษณะเป็นหวานซ่อนเปรี้ยวที่น่าประทับใจ ทุกครั้งที่ชิมรสชาติและกลิ่นของสาเกนี้ จะรู้สึกถึงความกระจายทั่วทุกมุมของปาก มีกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ที่ทำให้รสชาตินี้เป็นเอกลักษณ์

  • Miya Shuzo – Shimehari – Junmai Ginjo Yamada Nishiki: สาเกที่มีพันธุ์ข้าวชื่อดัง Yamada Nishiki

Shimehari” จาก Miya Shuzo เป็นสาเกที่ใช้พันธุ์ข้าว Yamada Nishiki ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก มีรสชาติที่มีความหวานเบาบางที่บาดคอเล็กน้อย มีระดับแอลกอฮอล์ที่ประมาณ 16% และมาพร้อมกับกลิ่นหอมเบา ๆ ที่เหมาะสำหรับการดื่มทั้งแบบอุ่นหรือเย็น

  • Kikuhime – Kukurihime: สาเกที่อายุ 10 ปี

Kukurihime” จาก Kikuhime เป็นสาเกที่มีอายุ 10 ปี การจำหน่ายจึงมีข้อจำกัด เนื่องจากยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่รสชาติก็ยิ่งค่อยมากขึ้น ให้ความอร่อยที่แท้จริง มีระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ 17-18% ซึ่งเหมาะสำหรับสายสะสมความพิเศษที่ต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายและอันพิเศษในการดื่มสาเก

  • Hakkaisan – Awa Hakkaisan: สาเกญี่ปุ่นที่คุ้มค่าต้องลอง

Hakkaisan” ตั้งอยู่เป็นหนึ่งในโรงหมักชื่อดังของญี่ปุ่นที่ผลิตสาเก เหล้าญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของญี่ปุ่น ในสาย Hakkaisan ความเป็นเอกลักษณ์ของ “Awa Hakkaisan” นั้นนับว่าเป็นสาเกแบบใหม่ที่มีกระบวนการหมักในขวดตามธรรมชาติ สาเกที่ได้จึงมีความใสประกายแวววาว รสชาติกลมกล่อมหอมแบบอ่อนโยน เหมาะกับทานคู่กับมื้อค่ำเป็นอย่างมาก

  • Zaku – Miyabi-no-Tomo Nakadori Junmai Daiginjo: เหล้าสาเกชั้นเลิศที่มาพร้อมกับรสชาติและกลิ่นหอมรัลจวญ

Zaku – Miyabi-no-Tomo Nakadori Junmai Daiginjo” เป็นเหล้าสาเกที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดมิเอะ รับรางวัลพรีเมียมในปี 2018 สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับความหรูหราและคุณภาพระดับสูงของเหล้าสาเก ควรพิจารณา Zaku – Miyabi-no-Tomo Nakadori Junmai Daiginjo ที่มาพร้อมกับราคาที่สบายกระเป๋าและรสชาติที่มีกลิ่นหอมรัลจวญ

  • Suishin – Kyukyoku no Suishin Daiginjo: บุกบามรสชาติที่ละมุนและความนุ่มของเหล้าสาเกชั้นเลิศ

Suishin – Kyukyoku no Suishin Daiginjo” เป็นเหล้าสาเกชั้นเลิศจากโรงงานกลั่นที่มีชื่อเสียงอย่างมากของจังหวัดฮิโรชิม่า โดยใช้น้ำจากภูเขาทาคาโนะในกระบวนการกลั่น เหล้าชนิดนี้มีความนุ่มเป็นพิเศษและเสริมด้วยรสชาติที่ละมุนและสดชื่น ผสมกับความหวานที่ลงตัวอย่างลงตัว ดังนั้น มันได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเหล้าสาเกที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น และมีระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ 17%

  • Tsutsumi Shuzo – Gokujo Tsutsumi: สำหรับความบรรยายสุดขั้ว

Tsutsumi Shuzo – Gokujo Tsutsumi” เป็นเหล้าสาเกที่สะท้อนความบรรยายอันยอดเยี่ยม จากสายแบรนด์ที่มีชื่อเสียงของ Tsutsumi Shuzo สูตรนี้ผ่านกระบวนการหมักและการบ่มอย่างพิถีพิถันในถัง เพื่อให้ได้รสชาตินุ่มนวลที่เหนือชั้น เรียกได้ว่าเป็นเหล้าสาเกชั้นพรีเมียมที่เหมาะมากสำหรับการเปิดเผยความมิตรภาพกับเพื่อนหรือครอบครัวในโอกาสสำคัญ

วิธีรับประทานสาเกอย่างถูกต้อง

การรับประทานสาเกเป็นการแสดงถึงการอัธยาศัยและวัฒนธรรมของประชาชนญี่ปุ่น ดังนั้น การรับประทานสาเกอาจมีขั้นตอนและวิธีที่ถูกต้องเพื่อให้ได้รสชาติและประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนี้

  1. เตรียมอุปกรณ์: ในการรับประทานสาเกควรมีโอโจโกะ (จอก) และทกกุริ (เหยือก) เพื่อให้ได้ประสบการณ์การดื่มที่ถูกต้องและเหมาะสม
  2. การเตรียมสาเก:
    • สำหรับสาเกแบบเย็น: ให้ตั้งขวดสาเกไว้ในตู้เย็นก่อนการรับประทานประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้มีรสชาติและกลิ่นที่ดีที่สุด
    • สำหรับสาเกแบบร้อน: นำทกกุริลงไปแช่ในน้ำเดือดไม่เกินนาทีเพื่อให้มีความอุ่นต่อร่างกาย
  3. การรับประทาน:
    • การจิบสาเกสามารถทำได้ตามสไตล์และความชอบของแต่ละคน แต่ควรเริ่มต้นจากการจิบช้า ๆ เพื่อให้สามารถรับรสชาติและกลิ่นได้อย่างเต็มที่

การรับประทานสาเกไม่เพียงแค่เป็นการดื่ม แต่ยังเป็นการสนุกสนานและแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น ด้วยความพอใจในการเลือกสาเกที่ถูกต้องและการรับประทานที่เหมาะสม คุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การดื่มสาเกในแบบที่แท้จริงได้อย่างแท้จริง

การเสิร์ฟสาเกและกับแกล้ม: คู่ความอร่อยที่เพิ่มรสชาติ

การเสิร์ฟสาเกคู่กับอาหารเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยที่รสชาติของแต่ละชนิดอาจแตกต่างไปตามการรับประทานกับกับแกล้มที่เหมาะสม มีทั้งรสหวานของสาเกเชื่อมและรสฝาด ดังนั้นการเลือกกับแกล้มที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับประสบการณ์การทานสาเกได้อย่างมีความสุข

  1. ยากิโทริ: อาหารที่ได้รับความนิยมแห่งประเทศญี่ปุ่นที่เหมาะกับการทานคู่กับสาเกอย่างมาก มักพบได้ที่ร้านอิซากายะ โดยที่จะรับประทานไปพร้อมกับซอสหรือเกลือ ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับสาเกอย่างมาก
  2. ซาชิมิ: สาเกที่มีรสหวานที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับการรับประทานคู่กับปลาดิบ และไม่ทำให้เสียรสชาติของสาเกไปในทางที่ไม่เหมาะสม
  3. เกี๊ยวซ่า: มีความฉ่ำและมัน ที่เหมาะสำหรับสาเกที่มีรสหวาน เพิ่มรสชาติได้มากขึ้นอีกทั้งถ้าเติมชีสและบ๊วยลงไป จะทำให้ได้รสชาติที่ดีขึ้นจากเดิม

สาเกในการทำอาหาร: เรียวริชูและมิริน

การใช้สาเกในการทำอาหารที่เรียกว่า “เรียวริชู” หรือ “เรียวริ” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการอาหารญี่ปุ่น การปรุงแต่งสาเกด้วยเกลือและเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ทำให้เรียวริชูมีรสชาติหวานอร่อยและกลิ่นหอมพร้อมส่งเสริมความนุ่มให้กับเนื้ออาหาร มีความเข้มข้นแอลกอฮอล์ประมาณ 14% ที่ช่วยเพิ่มความอร่อยอีกด้วย

นอกจากเรียวริชูแล้ว มีสาเกชนิดอื่นที่นิยมใช้ในการทำอาหารเช่น “มิริน” มิรินมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยแต่มีรสชาติหวานจากน้ำตาลสูง มิรินเหมาะกับการใช้ในอาหารของหวาน ในขณะที่เรียวริชูเหมาะสำหรับอาหารคาวและหวานตามความชอบของแต่ละคน

การสาเกและประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพ

การดื่มสาเกไม่เพียงแต่เป็นการสนุกสนานและพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย นี่คือประโยชน์ที่สาเกสามารถนำมาส่งเสริมสุขภาพของเรา:

  1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): สาเกมักมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้
  2. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ: การดื่มสาเกอย่างมีส่วนร่วมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและอัตราการเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ
  3. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน: บางสาเกมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
  4. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน: สาเกมีส่วนร่วมในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อต้านการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ
  5. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง: สารต้านอนุมูลอิสระในสาเกสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในเนื้อเยื่อลำไส้และปากมดลูก
  6. ส่งเสริมการเพิ่มปริมาณเลือด: การดื่มสาเกอาจช่วยกระตุ้นการเพิ่มปริมาณเลือดแดงในร่างกาย เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การบริโภคสาเกอย่างมีส่วนร่วมและอย่างมีสติจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพของสาเกได้ดีที่สุด