พระสงฆ์ไทยกับคิ้วที่หายไป

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

“พระสงฆ์” ไทย กับคิ้วที่หายไป พระสงฆ์ (ไทย) เริ่มโกนคิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่?

เรื่อง “เอาคิ้วเราคืนมา”เมื่อไม่นานนี้มีกระแส “เอาคิ้วเราคืนมา” ในหมู่พระสงฆ์ไทยบางส่วน ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้างว่า พระสงฆ์โกนคิ้วกันตั้งแต่เมื่อไหร่ พระสงฆ์ปัจจุบันควรโกนคิ้ว (ต่อไป) หรือไม่ เพราะการโกนคิ้วไม่มีปรากฏในพระธรรมวินัย
และการโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงและความสงสัยมานาน ซึ่งสาเหตุของการโกนคิ้วสามารถติดตามได้จากประวัติศาสตร์และการศึกษาวัฒนธรรมของประเทศไทยในสมัยต่าง ๆ ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่สามารถนำมาพิสูจน์ได้

ไขข้อข้องใจ พระสงฆ์ไทยโกนคิ้ว เริ่มสมัยใด? หลังพระชูป้าย ทวงคืน - ข่าวสด
การโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงและความสงสัยมานาน ซึ่งสาเหตุของการโกนคิ้วสามารถติดตามได้จากประวัติศาสตร์และการศึกษาวัฒนธรรมของประเทศไทยในสมัยต่าง ๆ ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับการล้มเหลวของสงครามกับพม่า มีเหตุการณ์ที่พบว่าทหารพม่าได้แอบปลอมตัวเป็นพระภิกษุสงฆ์เพื่อสืบข่าวในฝั่งของประเทศไทย เพื่อให้เขาสามารถมีประโยชน์ในการทำสงคราม การโกนคิ้วจึงเกิดขึ้นเพื่อแยกแยะระหว่างพระภิกษุไทยและพระภิกษุพม่า และทำให้สามารถกุมจับตัวปลอมได้โดยง่าย

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีเหตุการณ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการโกนคิ้ว เนื่องจากมีนางสนมอยู่ในจำนวนมากที่วัง และมีผู้ชายที่ปรารถนาที่จะเข้าไปหานางสนม การที่พระภิกษุสงฆ์โกนคิ้วก็ถือเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ลักลอบเข้าไปพระพฤติมิงามกับนามสนมนางในวัง รวมถึงป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้หญิง ดังนั้น การโกนคิ้วกลายเป็นมาตรการเพื่อรักษาความบริสุทธิ์และความเคร่งครัดของพระสงฆ์ในที่สุด

วิทยานิพนธ์ที่ถ่ายทอดเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมว่ามีผู้อาศัยผ้าเหลืองห่มเข้าไปในวังเพื่อลอบเข้าหานางสนมของพระมหากษัตริย์ และการโกนคิ้วกลายเป็นมาตรการที่ช่วยในการพิสูจน์ว่าผู้เข้าวังเป็นพระจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่พระภิกษุแล้วทำไมถึงไม่มีคิ้ว โดยทั้งหมดนี้มีเจตนาร้ายและเป็นการกำหนดข้อกำหนดทางวัฒนธรรมเพื่อรักษาความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีของพระสงฆ์

หลังจากที่ตรวจสอบทั้งประวัติศาสตร์และวิทยานิพนธ์นี้ จึงสามารถสรุปได้ว่า การโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยมีต้นกำเนิดมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการเลือกใช้มาตรการนี้ในการรักษาความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีของพระสงฆ์ในสมัยต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์ไทย

ต้นทางของเรื่องนี้พบได้ใน “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” ที่ระบุถึงการโกนคิ้วในลาว ในบันทึกนี้เขียนไว้ว่า “พระภิกษุโกนหนวดเครา ผมบนศีรษะและขนคิ้วเกลี้ยง” ตรวจสอบกับฉบับแปลภาษาอังกฤษ ก็กล่าวไว้ตรงกันว่า “They shave all their Beard, Head, and Eyebrows” ทำให้เห็นว่า การโกนคิ้วเป็นปฏิบัติที่สามารถยืนยันได้ในสมัยนั้น

ลา ลูแบร์ เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แสดงว่า พระสงฆ์ในสมัยนี้โกนคิ้วกันแน่นอนแล้ว กระแสที่ว่า การโกนคิ้วเกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงเป็นอันตกไป แล้วกระแสที่ว่า โกนคิ้วเพื่อแยกพระสงฆ์ไทยกับพม่า ที่ปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้ามาสืบข่าวนั้น มีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่?

จากการสืบค้นเท่าที่ผู้เขียนจะหาได้ ทั้งจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติฯ และฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่พบการกล่าวถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้เขียนสันนิษฐานจาก “เรื่องเล่า” เรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ว่า การโกนคิ้วเพื่อป้องกันพม่าปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้ามาสืบข่าว อาจจะเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวร หรืออาจย้อนไปถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็เป็นได้

ผู้เขียนเชื่อว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่การโกนคิ้วเกิดขึ้นเพราะเหตุผลนี้ อย่างไรเสีย หากพม่าประสงค์จะปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้ามาสืบข่าว เขาก็เพียงแค่โกนคิ้วให้เหมือนกับพระสงฆ์กรุงศรีอยุธยา

สรุป 
การโกนคิ้วมีกระทำกันในสมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์อย่างแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเพื่อแยกพระสงฆ์ไทยกับพม่า ที่ปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้ามาสืบข่าวหรือไม่นั้น คงต้องรบกวนท่านผู้รู้ผู้อ่านช่วยกันสืบค้นหลักฐานต่อไป เพราะยังมีหลักฐานอีกมากที่ผู้เขียนยังไม่ได้ค้น

ต่อคำถามที่ว่า “พระสงฆ์” ไทยเริ่มโกนคิ้วกันตั้งแต่เมื่อไหร่? โกนคิ้วเพราะป้องกันพม่ามาสืบข่าวจริงหรือไม่? จึงยังไม่เป็นที่ยุติ