เสื่อโยคะมีบทบาทสำคัญในการรองรับแรงกดทับจากผู้ฝึกโยคะและมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกสบายเพื่อการวาดลวดลายโยคะในท่าทางต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สำคัญที่ผู้ฝึกโยคะควรให้ความสำคัญในการเลือกใช้. เสื่อโยคะในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกซื้อ, ทั้งขนาด, ความหนา, ดีไซน์, และลวดลายที่แตกต่างกัน. ผู้ฝึกโยคะควรพิจารณาเลือกเสื่อที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเอง
ประโยชน์ของเสื่อโยคะ ที่ไม่ใช่แค่การใช้ฝึกโยคะ
เสื่อโยคะเป็นอุปกรณ์ที่มีข้อดีหลายประการในการใช้ในการฝึกโยคะ ไม่วาจะเป็น การช่วยรองรับน้ำหนักและกระจายแรงกดทับ, เสื่อโยคะช่วยให้ผู้ฝึกสามารถออกแรงพยุงร่างกายได้ดีและเพิ่มความยืดหยุ่น. การช่วยกันลื่นยังทำให้ผู้ฝึกสามารถฝึกท่าโยคะต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบาดเจ็บจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย. บางรุ่นยังมีดีไซน์ที่ช่วยจัดระเบียบท่วงท่าต่าง ๆ ของร่างกายให้เหมาะสมกับการฝึกโยคะมากขึ้น, ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่เริ่มต้น.
นอกจากประโยชน์ในการฝึกโยคะ, เสื่อโยคะยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการออกกำลังกายอื่น ๆ. ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพิลาทิส, ที่มีความคล้ายคลึงกับการฝึกโยคะ, หรือการฝึกกล้ามเนื้อของร่างกาย. การทำเวทเทรนนิ่งและบอดี้เวทก็สามารถใช้เสื่อโยคะเพื่อรองรับแรงกระแทกและกระจายแรงกดทับในการบริหารบางท่าได้. รวมถึงการฝึกกายบริหารทั่วไป เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ที่สามารถใช้เสื่อโยคะได้เพื่อป้องกันการลื่นหรือบาดเจ็บจากการยืดเหยียดร่างกายไม่ถูกต้อง
เลือกเสื่อโยคะอย่างไร ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
1. เลือกวัสดุโยคะ ให้เหมาะสมกับระดับการฝึก
- สำหรับผู้ฝึกโยคะมือใหม่ หรือระดับเริ่มต้น
ผู้ที่พึ่งเริ่มฝึกโยคะหรือผู้ฝึกที่ยังอยู่ในระดับ Beginner จะยังไม่ต้องฝึกท่ายากหรือทำการเคลื่อนไหวมากเท่ากับผู้ฝึกโยคะระดับกลาง – สูง จึงเน้นเสื่อที่ รองรับน้ำหนักได้ดีในระดับนึง เนื้อวัสดุนิ่มและน้ำหนักเบาเป็นหลักก็เพียงพอ จึงขอแนะนำให้เลือกเสื่อโยคะที่ผลิตจากวัสดุพลาสติก เพราะจะมีราคาไม่แพง แต่มีคุณสมบัติครบดังที่กล่าวไป จึงสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเสื่อโยคะที่ผลิตจากวัสดุพลาสติกจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
-
- วัสดุ EVA (Ethylene Vinyl Acetate) : เป็นเสื่อโยคะที่ผลิตจากวัสดุโฟมพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง มีความนิ่มและน้ำหนักเบา ทั้งยังทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี และยังเป็นวัสดุที่ถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
- วัสดุ PVC (Poly Vinyl Chloride) : ผลิตจากวัสดุพลาสติกที่มีความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา สามารถหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง แต่จะไม่สามารถรองรับแรงกดทับได้ดีนัก เนื่องจากจะเกิดการยุบตัวสูงหากมีการกดทับ ทำให้ไม่สามารถซัพพอร์ตผู้ฝึกโยคะในท่าที่มีความยากและซับซ้อนได้และเหมาะสำหรับการฝึกโยคะท่าพื้นฐานเท่านั้น
- สำหรับผู้ฝึกโยคะระดับกลาง ถึงระดับสูง
ปกติแล้วผู้ที่ฝึกโยคะระดับกลางถึงระดับสูงมักจะต้องการเน้นฝึกท่าโยคะที่มีความยากและซับซ้อน จึงควรใช้เสื่อที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นและรองรับแรงกระแทก ได้สูง มีความแน่นกว่าเสื่อโยคะทั่วไปสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อที่จะสามารถรับแรงกด แรงยืดและแรงกระแทกได้ดีกว่า รวมทั้งช่วยซัพพอร์ตการฝึกท่ายาก ๆ ได้ เช่น ท่ากลับหัวที่จะเกิดแรงกดที่ศีรษะ หากวัสดุมีความแน่นก็จะช่วยผู้ฝึกทรงตัวได้มั่นคงกว่าและยังช่วยลดการบาดเจ็บได้ด้วย หากพูดถึงวัสดุที่เหมาะสม ที่สุดสำหรับผู้ที่ฝึกโยคะระดับกลาง – สูง ก็คือ ยางธรรมชาติ โดยจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
-
- วัสดุ NBR (Nitrile Rubber) : เป็นเสื่อที่ผลิตจากยางธรรมชาติ 100% จึงมีความแข็งแรง ทนทานและยืดหยุ่นสูงมาก สามารถรองรับแรงกดทับได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการฝึกท่ายาก ๆ เพียงแต่มีราคาค่อนข้างสูงและไม่ทนต่อความร้อนหรือรังสียูวี จึงไม่เหมาะกับการใช้ในการฝึกกลางแจ้งหรือโยคะร้อน
- วัสดุ TPE (Thermoplastic Elastomer) : เป็นเสื่อที่ผลิตจากวัสดุยางธรรมชาติผสมกับพลาสติกบางส่วน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับยางธรรมชาติมากที่สุด จึงมีความหนาและนุ่ม รองรับแรงกระแทกได้ดี รวมทั้งยังระบายอากาศและดูดซับเหงื่อได้ดี ที่สำคัญคือมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับวัสดุ NBR ที่ใช้ยางธรรมชาติ 100%
2. เลือกขนาดเสื่อ และความหนาให้เหมาะกับผู้ฝึก
การเลือกขนาดของเสื่อโยคะผู้เล่นควรคำนึงถึงความสูงของตนเองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกระดับเริ่มต้นหรือระดับชำนาญ หรือเพศใดก็ตาม โดยขนาดเสื่อที่เหมาะสมนั้นจะต้องสามารถรองรับองค์ประกอบของร่างกายได้ทั้งหมด เช่น ตำแหน่งการวางมือ การวางเท้า หรือการนอนพักท่าโยคะผ่อนคลาย (ท่าศพ) หากเลือกขนาดเสื่อไม่พอดีก็อาจมีความเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บได้
โดยส่วนใหญ่ขนาดของเสื่อมาตรฐานจะมี 2 ขนาดหลัก ๆ คือขนาดประมาณ 170 x 60 cm ซึ่งจะเหมาะกับบุคคลที่มีความสูงไม่เกิน 150 cm และขนาดประมาณ 183 x 61 cm จะเหมาะกับบุคคลที่สูงเกิน 150 cm ขึ้นไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความหนาและความบางที่ต้องพิจารณา เพราะความหนาที่พอดีของเสื่อจะรองรับการฝึกท่าโยคะได้อย่างเหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาจากระดับความเชี่ยวชาญการฝึกโยคะของแต่ละคน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมาตรฐานความหนาจะอยู่ที่ 1.5 – 20 mm หากเป็นผู้ฝึกโยคะในระดับเริ่มต้นหรือไม่มีพื้นฐานมาก่อน ควรจะเลือกเสื่อที่มีความหนา 4 – 6 mm เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกระหว่างร่างกายและพื้นได้ดี และสามารถพยุงตัวในท่าโยคะต่าง ๆ ได้อย่างสมดุล ส่วนผู้ที่ฝึกโยคะมานานระดับหนึ่งหรือมีความเชี่ยวชาญแล้ว แนะนำให้เลือกเสื่อโยคะที่มีความหนาประมาณ 1.5 – 3 mm
ทั้งนี้ ผู้ฝึกต้องพิจารณาความหนาของเสื่อโยคะให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวด้วย เพราะเสื่อต้องทำหน้าที่รองรับแรงกดทับระหว่างพื้นและน้ำหนักของร่างกาย หากคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะแต่เลือกเสื่อที่บางไปก็จะทำให้รู้สึกเจ็บที่ข้อมือหรือข้อเท้าในระหว่างที่ฝึกโยคะได้
3. สำหรับผู้ฝึกมือใหม่ หรือระดับเริ่มต้น ควรเลือกเสื่อที่มีลวดลายเส้นช่วยจัดท่าก็จะจัดระเบียบร่างกายได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้ฝึกระดับเริ่มต้นที่ยังขาดความชำนาญในการจัดท่าทางให้เหมาะสมสำหรับการฝึกโยคะ นอกจากการอาศัยครูสอนฝึกโยคะช่วยแนะนำแนวทางแล้ว แนะนำให้เลือกใช้เสื่อโยคะที่มีลวดลายเส้นที่ช่วยในการจัดวางท่าทาง ซึ่งจะช่วยกำหนดตำแหน่งมือและเท้า ทำให้สามารถจัดระเบียบร่างกายได้ถูกต้องมากขึ้น
แต่หากรู้สึกว่าตำแหน่งจัดวางมีความแคบหรือกว้างเกินขนาดตัว ก็สามารถใช้ตำแหน่งที่เสื่อเป็นจุดอ้างอิง แล้วกำหนดตำแหน่งใหม่ที่ถูกต้องตามความเหมาะสมกับขนาดของร่างกายได้
4. สำหรับผู้ที่ฝึกโยคะร้อน จำเป็นต้องใช้เสื่อที่เป็นวัสดุทนความร้อนได้ดี และควรหลีกเลี่ยงวัสดุจากยางธรรมชาติ
โยคะร้อนเป็นประเภทของการฝึกโยคะชนิดหนึ่งที่ทำในอุณหภูมิและความร้อนที่สูง ดังนั้นควรเลือกเสื่อที่ผลิตจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนได้ดี และควรหลีกเลี่ยงเสื่อโยคะที่ผลิตจากวัสดุยางธรรมชาติ เนื่องจากมีความทนต่อความร้อนไม่ดี การฝึกโยคะร้อนอาจทำให้เกิดความเปียกชื้นบริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้าได้ง่าย ซึ่งอาจ导致การลื่นในระหว่างฝึก หากไม่ระมัดระวังก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้ ควรเลือกเสื่อที่มีพื้นหลังลักษณะหยาบ และมีลวดลายขรุขระ เพื่อลดการลื่นระหว่างการฝึก มีหลักการคล้ายกับการทำงานของดอกยางรถยนต์ที่ช่วยลดการลื่นระหว่างล้อรถและพื้นถนน เพื่อช่วยให้เกิดความเสียดทานที่จะป้องกันการลื่นได้
นอกจากนี้ ควรเลือกวัสดุที่ระบายความชื้นได้ดี เนื่องจากระหว่างการฝึกโยคะร้อนจะเกิดการสะสมของคราบเหงื่อจากผู้เล่นลงบนเสื่อโยคะ ถ้ามีความชื้นสะสมมาก ๆ อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดแบคทีเรีย ทำให้เสื่อโยคะมีกลิ่นอับและสภาพเสื่อเสียคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว
5. สำหรับการฝึกโยคะนอกสถานที่ ควรเลือกเสื่อโยคะที่มีสายสะพายหรือกระเป๋าด้วย จะสะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่เลือกฝึกโยคะนอกสถานที่บ่อยครั้ง ไมว่าจะเป็นกลางแจ้งหรือในฟิตเนส คำแนะนำคือให้เลือกใช้เสื่อโยคะรุ่นที่มีอุปกรณ์เสริม เช่น กระเป๋าหรือสายสะพาย เพื่อช่วยให้ผู้ฝึกสามารถนำเสื่อโยคะไปใช้ทุกที่ได้อย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการซื้ออุปกรณ์เสริมที่แยกต่างหากซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง