บราซิลเลียนยิวยิตสู: ศิลปะการต่อสู้บนพื้นและเทคนิคการจับล็อก

บราซิลเลียนยิวยิตสู: การพัฒนาศิลปะการต่อสู้จากยืนสู่พื้น

บราซิลเลียนยิวยิตสู (Brazilian Jiu-Jitsu) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า BJJ เป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีลักษณะเด่นในการต่อสู้และควบคุมคู่ต่อสู้บนพื้น โดยเน้นการใช้เทคนิคจับล็อก และการทุ่มคู่ต่อสู้จากด้านบน เป็นศิลปะที่ส่วนใหญ่ใช้การควบคุมร่างกายและเทคนิคการต่อสู้มากกว่าพลวัตรอื่น ๆ

การร่วมกันของกีฬายูโดและมวยปล้ำเป็นจุดเด่นหลักของ BJJ ทำให้มีการฝึกท่าจับล็อกบนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ในระดับที่สูง

เรื่องเกี่ยวกับวิชาบราซิลเลียนยิวยิตสูจึงถือเป็นพื้นฐานสำคัญของกีฬาต่อสู้แบบผสมหรือ Mixed Martial Arts (MMA) โดย MMA เป็นกีฬาที่ผสมศิลปะการต่อสู้หลาย ๆ แบบมาอย่างลงตัว เพื่อให้การต่อสู้มีความหลากหลายและน่าสนใจขึ้น ในเวทีการประลองของ MMA นักสู้ที่มีความสำเร็จและชื่อเสียงมักจะมีการใช้เทคนิคของ BJJ อย่างเชี่ยวชาญ

นักสู้ชั้นนำในสังกัด UFC ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการ MMA มักจะมีการฝึกและใช้เทคนิคของ BJJ อย่างเชี่ยวชาญ บางครั้งการเริ่มต้นการศึกษา BJJ ของนักสู้อาจเป็นเหตุผลสำคัญในความสำเร็จของพวกเขาใน MMA อาทิเช่น Nate Diaz, Anderson Silva, Jose Aldo เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวอย่างของนักสู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้ BJJ ในการต่อสู้ในระดับสูง

เริ่มต้นตั้งแต่ฐานศิลปะ: การเรียนรู้ BJJ สำหรับผู้เริ่มต้น

บราซิลเลียนยิวยิตสู (Brazillian Jiu-Jitsu) เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เน้นการจับล็อกอย่างสุดซึ่งสามารถเกิดขึ้นทั้งในท่ายืนและบนพื้น มักพบการแสดงที่ดีของศิลปะนี้ในการแข่งขันบนพื้น หลักการของ BJJ คือการนำล้มศัตรูลงพื้นและมีการต่อสู้ในท่าพื้น (ground game) โดยส่วนใหญ่จะมีการทุ่มศัตรูหรือการพาศัตรูลงไปเล่น position guard ซึ่งเป็นท่าที่เป็นเอกลักษณ์ของ BJJ จุดประสงค์หลักของการต่อสู้คือการพยายามทำให้ศัตรูยอมแพ้ด้วยการส่ง submission ซึ่งอาจเป็นการรัดคอหรือการหักข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย (หากศัตรูไม่ยอมแพ้ก็อาจทำให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรง เช่น หักแขนหรือขา) ท่าที่มีชื่อเสียงรวมถึง Triangle choke, Arm-bar, Guillotine, และ Omoplata ซึ่งเป็นแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ ของท่าที่ใช้ในการส่ง submission นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิค sweep เพื่อทำให้ศัตรูไปอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เช่น การยกศัตรูขึ้นหรือการอยู่ในตำแหน่งข้างหลังเพื่อเตรียมส่ง submission

บราซิลเลียนยิวยิตสู สามารถแบ่งเป็น 2 แบบหลัก คือ 1. Gi ซึ่งเป็นการใส่ชุดเล่นที่มีลักษณะคล้ายกับชุดยูโด และ 2. No-Gi ซึ่งไม่มีการใส่ชุดเล่นและมักจะมีกฎการแข่งขันที่เพิ่มความเร็วและอันตราย เช่น การหักขา

นอกเหนือจากการแข่งขัน บางโรงเรียนยังมีการสอน self defense ในคลาสของ BJJ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของศิลปะการต่อสู้นี้ แม้ว่ามันจะมีความสำคัญต่อเนื้อหาของ BJJ ในอดีต แต่การสอน self defense นั้นลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากมีโอกาสในการใช้งานน้อยลงในชีวิตประจำวัน

กำเนิดและพัฒนาของบราซิลเลียนยิวยิตสู

  1. ต้นกำเนิดของศิลปะการต่อสู้: การเริ่มต้นของบราซิลเลียนยิวยิตสูมาจากวิชาโคโดกัน ยูโด และยิวยิตสูของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฐานในการพัฒนาศิลปะการต่อสู้ในบราซิล
  2. มิตซึโยะ มาเอดะและการเผยแพร่ยูโด: มิตซึโยะ มาเอดะ เป็นนักยูโดชาวญี่ปุ่นที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปเผยแพร่วิชายูโดในต่างประเทศ เขาได้เดินทางมายูโดหลายประเทศและเข้าบราซิลในปี 1914
  3. การแพร่กระจายของยิวยิตสูในบราซิล: มาเอดะเป็นอดีตผู้ฝึกซูโม่ที่เปลี่ยนตัวเข้ามาฝึกยูโดในสมัยที่วิชายูโดเริ่มค่อนข้างใหม่ คาร์ลอส กราซี เป็นหนึ่งในนักศึกษาของมาเอดะ ซึ่งหลังจากนั้นเขาได้สอนยิวยิตสูให้กับญาติๆ และ Helio Gracie ที่เป็นต้นกำเนิดของบราซิลเลียนยิวยิตสูในภายหลัง
  4. จากเกรซียิวยิตสูถึงบราซิลเลียนยิวยิตสู: บราซิลเลียนยิวยิตสูชื่อเสียงมากขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ Kimura จากญี่ปุ่นมาท้าทาย Helio Gracie ในการต่อสู้และทำให้โลกเริ่มรู้จักกีฬานี้
  5. การแข่งขันใน UFC: การเข้าร่วมในรายการ Ultimate Fighting Championship (UFC) เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ทำให้บราซิลเลียนยิวยิตสูได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นและกระจายไปทั่วโลก
  6. ความสำคัญของชื่อเกรซียิวยิตสู: เกรซียิวยิตสูได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของตระกูลเกรซี และเป็นการกำหนดมาตรฐานของการประลองยิวยิตสูในรูปแบบของตน
  7. การสาธิตทักษะใน Gracie Challenge: Gracie Challenge เป็นการทดสอบความสามารถในการต่อสู้ของบราซิลเลียนยิวยิตสู ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงของวิชาการต่อสู้นี้ขึ้นมา
  8. การแข่งขันและการเจรจาในต่างประเทศ: บราซิลเลียนยิวยิตสูได้มีการแข่งขันและเจรจากับศิลปะการต่อสู้อื่นๆ ในสถานที่ต่างๆทั่วโลก
  9. การกระจายยิวยิตสูในสากล: บราซิลเลียนยิวยิตสูได้รับความนิยมและความสนใจจากนักกีฬาและผู้สนับสนุนทั่วโลก
  10. การพัฒนาและอนาคตของศิลปะการต่อสู้: บราซิลเลียนยิวยิตสูยังคงเป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่กำลังพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เสน่ห์ของการฝึกศิลปะการต่อสู้บราซิลเลียนยิวยิตสู

การเล่นบราซิลเลียนยิวยิตสูไม่เพียงแต่เป็นการฝึกศิลปะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้ความเข้าใจในสรีระสัดส่วนของร่างกายอย่างสมบูรณ์ โดยเน้นการเคลื่อนไหวบนพื้น การใช้หลักคานดีดคานงัด และการเล่นกับการทรงตัวของคู่ต่อสู้ เพื่อสร้างการล็อกที่มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ

การฝึกซ้อมในบราซิลเลียนยิวยิตสูมีความปลอดภัยสูง โดยไม่มีการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมที่ต่ำ และการเข้าคู่ซ้อม (sparring) สามารถใช้แรงได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีอายุมากแล้วก็ยังสามารถเข้าร่วมได้

ในแง่ของการป้องกันตัว การลงไปปล้ำล็อกบนพื้นอาจจะทำให้เสียเปรียบคู่ต่อสู้จำนวนมาก แต่การใช้เทคนิคที่เหมาะสมสามารถช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ป้องกันตัวในสภาวะจริงๆได้

นอกจากนี้ การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้นี้ยังช่วยเพิ่มพูนความรู้ในการป้องกันตัวในมิติต่างๆ ซึ่งรวมถึงการป้องกันตัวของสุภาพสตรีและผู้ชายตัวเล็กในสถานการณ์ที่คับขัน เช่น เวลาถูกข่มขืน หรือจากเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยให้เกิดความเสียหายต่ำที่สุด

เมื่อ ‘ยิวยิตสู’ มาถึงประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2464 เทคนิคของ ‘ยิวยิตสู’ ได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับยังไม่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อกีฬายูโดกำเนิดขึ้น ทำให้ ‘ยิวยิตสู’ ถูกลืมไปเรื่อยๆ ซึ่งมีผู้มองว่ามีความรุนแรงเกินไป เกินกว่าที่จะใช้เป็นกีฬาแข่งขันและมีการเล่นกีฬาที่น้อยกว่าอย่างยูโด

แต่อย่างไรก็ดี ‘ยิวยิตสู’ ไม่ได้หมดไปเสียเลย เพราะยังมีศูนย์การฝึกหรือโรงเรียนที่ให้การฝึกทักษะอย่างเต็มรูปแบบ อาทิเช่น โรงฝึกเรนบูกัน (โรงเรียนยิวยิตสูแรกของไทย) และห้องยิมของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่เป็นที่รู้จักมากในการฝึกสอน ‘ยิวยิตสู’ นอกจากนี้ยังมีนักฝึกที่เก่งของไทยอย่างมากมาย เช่น ฉลวย อัศวนนท์, ประจันต์ วัชรปาน, จำรัส ศุภวงศ์, แถม สุดกังวาล, ปิ่น วิจารณ์บุตร, เชษฐ์ วิลิตกุล, และสำราญ สุขุม ซึ่งบางคนในนี้ก็เคยรับการฝึกยูโดและนำเสนอไอเดียต่อไปในประเทศไทย

เมื่อ ‘ยิวยิตสู’ บุกเข้ามาในประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2464 เทคนิคของ ‘ยิวยิตสู’ ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับยังไม่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อกีฬายูโดเกิดขึ้น ทำให้ ‘ยิวยิตสู’ ถูกลืมไปเรื่อยๆ ซึ่งมีผู้มองว่ามีความรุนแรงเกินไป เกินกว่าที่จะใช้เป็นกีฬาแข่งขัน และมีการเล่นกีฬาที่น้อยกว่าอย่างยูโด

แต่อย่างไรก็ดี ‘ยิวยิตสู’ ไม่ได้หมดไปเสียเลย เพราะยังมีศูนย์การฝึกหรือโรงเรียนที่ให้การฝึกทักษะอย่างเต็มรูปแบบ อาทิเช่น โรงฝึกเรนบูกัน (โรงเรียนยิวยิตสูแรกของไทย) และห้องยิมของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่เป็นที่รู้จักมากในการฝึกสอน ‘ยิวยิตสู’ นอกจากนี้ยังมีนักฝึกที่เก่งของไทยอย่างมากมาย เช่น ฉลวย อัศวนนท์, ประจันต์ วัชรปาน, จำรัส ศุภวงศ์, แถม สุดกังวาล, ปิ่น วิจารณ์บุตร, เชษฐ์ วิลิตกุล, และสำราญ สุขุม ซึ่งบางคนในนี้ก็เคยรับการฝึกยูโดและนำเสนอไอเดียต่อไปในประเทศไทย