ดร.ซุน ยัดเซ็น ผู้นำแห่งการปฏิวัติ
ดร.ซุน ยัดเซ็น นำคณะผู้บุกบ้านแห่งการปฏิวัติมาจากชนบทและความยากจนในจังหวัดเซียงซาน ภาคใต้ของจีน เกิดในวันที่ 1879 ในครอบครัวของเกษตรกรที่มีเงินทองน้อย ๆ แต่มีจิตใจและความปรารถนาที่มากมายที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์ชีวิตใหม่ให้กับประชาชนของเขาและประเทศบ้านเกิด
ในช่วงวัยเรียน, ซุน เคยไปศึกษาที่โรงเรียนศาสนาชาวอังกฤษในโฮโนลูลู เป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับความรู้และแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่กลับต้องกลับมาที่บ้านเกิดในปี 1883 หลังจากที่พี่ชายของเขาปฏิเสธความชอบของเขาที่เน้นทางศาสนาคริสต์
หลังจากการสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของเขา, ซุน ได้เริ่มการศึกษาที่ Queen’s College ในปี 1884 และหย่าราชการีกับ หลู มู่เจิน ผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วยตัวเอง และมีบุตรกับเธอ 2 คน
นอกจากการเรียนและการบุตร, ซุน ยังได้เริ่มการเข้าศึกษาที่โรงพยาบาลกวางโจวในปี 1886 และต่อมาได้ย้ายไปศึกษาที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์จีนในฮ่องกง ในปี 1892, เขาจบการศึกษาและมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่จะเอาชนะปัญหาทางสังคมและเทคโนโลยีในประเทศจีน ทำให้เขาเลือกเดินทางในทิศทางของการปฏิวัติ ในรูปแบบที่มีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมที่เขาค้นพบในตะวันตก”
ก้าวสู่อาชีพการเมืองที่เปลี่ยนชะตากรรมของประเทศ
หลังจากที่ ดร.ซุน ตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอเพื่อเข้าสู่สนามการเมืองในปี 1894 เขาเริ่มส่งจดหมายถึง “หลี่ หงจาง” ข้าหลวงใหญ่แห่งเหอเป่ย์ ด้วยแนวทางที่มุ่งหวังที่จะช่วยประเทศจีนกลับมาสู่ความแข็งแกร่ง แต่ได้รับการไม่สนใจและการตีความผิดไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน นับเป็นการปฏิเสธที่สร้างพลังบวกให้กับศรัทธาของซุน ซึ่งต่อมาเขาตัดสินใจกลับไปที่ฮาวายอีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 1894 และจัดตั้งสมาคม “ชิงจงฮุย” ที่เริ่มก่อตั้งพื้นฐานของคณะปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน
คณะปฏิวัตินี้รวมอาสาสมัครจากชนบทและชนชั้นต่าง ๆ ของสังคม และมีภารกิจที่ชัดเจนคือทำให้ประเทศจีนกลับมาเป็นประเทศที่มีอำนาจ การเจรจาของซุน กับหยวนซื่อไข่ถูกทำให้เอาอำนาจของแมนจูลถูกล้มล้างในวันที่ 20 มีนาคม ปี 1912 ที่สถานีรถไฟเซี่ยงไฮ้ แต่ความสำเร็จนี้กลับถูกตำหนิด้วยการลอบสังหาร “ซ้ง เจียวเรน” ที่สถานีรถไฟ ซึ่งทำให้ซุนต้องเร่งรีบกลับมาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ทว่าหยวนซื่อไข่กลับปฏิเสธและยังลดความสำคัญของซุนในคณะปฏิวัติ โดยการปลดเขาออกจากคณะในวันที่ 15 กันยายน 1913 และสั่งจับกุมเขา
ดร.ซุน กลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองและต้องหนีไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็นการลาอาลัยสำหรับการต่อสู้ที่ยังไม่สิ้นสุดของนักปฏิวัติที่มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศ”