กระเนื้อคืออะไร รักษาให้หายได้หรือไม่?

กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) เป็นก้อนเนื้อชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กคล้ายหูดนูนขึ้นมาจากผิวหนัง มักพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และหลัง ไม่สร้างความเจ็บปวดและไม่ต้องรับการรักษา เว้นแต่กรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกกังวลเรื่องความสวยงาม โดยทั่วไปเจอบ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ

ลักษณะของกระเนื้อสามารถสังเกตเห็นได้อย่างไร?

  1. รูปร่างและขนาด : กระเนื้ออาจมีรูปร่างทรงกลมหรือวงรี และมีขนาดที่หลากหลายตั้งแต่เล็กมากถึงประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร)
  2. สี : กระเนื้อมักมีหลายสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ
  3. พื้นผิว : พื้นผิวของกระเนื้ออาจมีลักษณะเรียบมันหรือขรุขระ ค่อนข้างแบนหรือนูนขึ้นมาเล็กน้อย
  4. ตำแหน่ง : กระเนื้อพบได้บ่อยตามใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก ไหล่ ท้อง และหลัง โดยมักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว
  5. อาการ : กระเนื้ออาจมีอาการคันหรือเกิดการระคายเคือง แต่ไม่มีอาการเจ็บ

คำแนะนำ : กระเนื้อส่วนใหญ่ไม่ค่อยก่อปัญหาใด ๆ แต่ไม่ควรถู ขูด หรือดึงผิวหนังบริเวณที่เกิดกระเนื้อ เพราะอาจทำให้เกิดการเลือดออก บวม หรือติดเชื้อ

คำเตือน : เมื่อสังเกตเห็นว่ากระเนื้อขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น, เกิดการระคายเคือง, หรือเลือดออกเมื่อเสียดสีโดนกับเสื้อผ้า, หรือผิวหนังบริเวณนั้นเกิดความผิดปกติตามมา เช่น รูปร่างของรอยโรคผิดแปลกไปจากเดิม, ก้อนเนื้อที่คาดว่าเป็นกระเนื้อเกิดบาดแผล มีขนาดใหญ่ขึ้น, ขอบก้อนเนื้อไม่เรียบ, หรือเลือดออกจากก้อนเนื้อ, ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจหาสาเหตุของอาการต่อไป

กระเนื้อเกิดจากอะไร?

สาเหตุที่แท้จริงของกระเนื้อยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่มีผลมาเกี่ยวข้องต่อการเกิดกระเนื้อ :

  1. ดัชนีมวลกาย (BMI) : คนที่มีดัชนีมวลกายสูงกว่าปกติมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดกระเนื้อมากขึ้น
  2. พันธุกรรม : มีการพบว่ากระเนื้อมีลักษณะที่มีสิ่งกระตุ้นทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวที่มีประวัติเกี่ยวกับกระเนื้อ นักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่ามีโอกาสในการสืบถอดต่อ
  3. อายุ : กระเนื้อมักเกิดในผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปี แม้ว่ามันอาจเกิดทุกช่วงวัย
  4. เพศ : มีความเป็นมาทางเพศว่า หญิงมีโอกาสมากกว่าชาย
  5. โรคหลอดเลือด : การมีโรคหลอดเลือดที่เพิ่มความดันในเลือดอาจมีผลต่อการเกิดกระเนื้อ
  6. การบริโภคอาหาร : การบริโภคอาหารที่รวมถึงการใช้ไขมันมาก ๆ ในอาหารก็อาจมีผลต่อการเกิดกระเนื้อ
  7. แสงแดด : สำหรับผู้ที่ตากแดด หรือต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานมีโอกาสเกิดกระเนื้อมากขึ้น

วิธีการรักษากระเนื้อ

กระเนื้อไม่จำเป็นต้องรักษา ยกเว้นว่ามีความเสี่ยงหรือมีความผิดปกติบางประการ หรือต้องการรักษาเพื่อความสวยงาม ซึ่งมีมีตัวเลือกการรักษาหลายวิธีที่แพทย์สามารถพิจารณาตามสถานการณ์ :

  1. การผ่าตัดด้วยความเย็น (Cryosurgery) : ใช้ไนโตรเจนเหลวแช่แข็งเพื่อทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ วิธีนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการลดขนาดของกระเนื้อลง
  2. การขูดเอาเนื้อเยื่อ (Curettage) : ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า Curettage ที่ขูดเพื่อเอาเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติออก มักใช้ควบคู่กับวิธีอื่น ๆ เพื่อลดขนาดของกระเนื้อลง
  3. การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) : ใช้ไฟฟ้าเพื่อจราจรสารเคมีลงไปในเนื้อเยื่อ โดยมีการใช้ยาชาเพื่อลดความเจ็บปวด
  4. การรักษาด้วยเลเซอร์ (Ablative Laser Surgery) : ใช้เลเซอร์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อ วิธีนี้ช่วยในการลดเลือนของผิวกระเนื้อ
  5. การจี้ด้วยสารเคมี (Focal Chemical Peel) : การใช้สารเคมีเข้มข้นเพื่อละลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ
  6. การตรวจสอบและตัดส่งตัวอย่าง : หากมีความสงสัยถึงความเสี่ยงทางการแพทย์, การตัดส่งตัวอย่างไปทำการตรวจทางพยาธิวิทยาอาจถูกนำเสนอ

ควรทราบว่าผลการรักษาอาจส่งผลให้เกิดรอยแผลหรือกระเนื้อประการใหม่. ทั้งนี้, ควรพูดคุยกับแพทย์เพื่อเลือกทางรักษาที่เหมาะสมและเข้าใจถึงผลที่คาดหวังหลังจากการรักษา

กระเนื้อสามารถป้องกันได้หรือไม่?

การป้องกันการเกิดกระเนื้อไม่ได้มีมาตรฐานที่ชัดเจน เนื่องจากสาเหตุของกระเนื้อยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มีบางปัจจัยที่เชื่อว่าสามารถมีผลในการลดความเสี่ยงได้บ้าง :

  1. การรักษาสุขภาพ : การรักษาสุขภาพที่ดีรวมถึงการดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายและบริโภคอาหารที่สมดุล เช่น ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง, มีการบริโภคผลไม้และผักมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่เป็นไปได้
  2. การควบคุมน้ำหนัก : การรักษาน้ำหนักที่สมดุลจะช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดกระเนื้อ เนื่องจากความอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมักเป็นปัจจัยที่เพิ่มความดันที่เนื้อไขมันและเนื้อต่ำไป
  3. การเลี่ยงบาดแผล : การป้องกันการบาดแผลในที่ที่กระเนื้ออาจเกิด เช่น การรักษาผิวหนังให้เป็นปกติ และเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้เกิดบาดแผล, จะช่วยลดโอกาสในการเกิดกระเนื้อ
  4. การเฝ้าระวังอาการผิดปกติ : หากมีการพบก้อนในร่างกายหรือมีอาการผิดปกติบนผิวหนัง, ควรรีบพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
  5. สำหรับผู้ที่ต้องตากแดด หรืออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน อาจลดความเสี่ยงได้โดยหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดในช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง และเมื่อต้องตากแดดควรสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดอย่าง เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หรือสวมหมวก  และทาครีมกันแดด เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด