ประโยชน์ของมะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่เป็นที่รู้จักและนิยมในประเทศไทย เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารอาหารหลากหลายที่มีผลดีต่อร่างกายให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานมะละกอแบบดิบหรือปรุงสุกก็สามารถนำมาสร้างเมนูอาหารได้หลากหลายรูปแบบ
ในมะละกอ มีสารอาหารมากมาย
เรามาพูดถึงคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอกันก่อน ในแต่ละ 100 กรัมของมะละกอ (ประมาณ 1 ลูก) จะให้พลังงานประมาณ 59 กิโลแคลอรี่ โปรตีนประมาณ 1 กรัม และไฟเบอร์ประมาณ 3 กรัม นอกจากนี้ มะละกอยังเป็นแหล่งของวิตามิน C และ A ที่สูง โฟเลท โพแทสเซียม และแมกนีเซียมซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย
นอกจากนี้ มะละกอยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ และฟลาโวนอยด์ที่ช่วยในการบำรุงหลอดเลือด และผิวพรรณ รวมถึงการป้องกันอัลไซเมอร์อีกด้วย ที่สำคัญคือเส้นใยที่มีในมะละกอที่ช่วยในการขับถ่ายเป็นยาระบายชั้นเลิศ ซึ่งยังช่วยในการป้องกันมะเร็งลำไส้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการบริโภคมะละกอด้วย เนื่องจากมีส่วนผสมของคอเลสเตอรอลที่ต่ำ และไขมันอิ่มตัวที่น้อย ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักได้หากบริโภคอย่างพอดี นอกจากนี้ วิตามิน C ในมะละกอยังเป็นตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายอีกด้วย
สุดท้าย ไม่เพียงแค่เป็นอาหารที่เหมาะกับการบริโภค มะละกอยังมีเอนไซม์ปาเปนที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมได้มากมาย ดังนั้นการเพิ่มมะละกอเข้าสู่เมนูอาหารของเราไม่เพียงช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังสามารถให้ประโยชน์แก่สังคมและเศรษฐกิจได้อีกด้วย
ประโยชน์ของมะละกอ จากส่วนต่าง ๆ
มะละกอเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายไม่เพียงแค่ในด้านโภชนาการและการบำรุงร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีส่วนต่าง ๆ ที่มีคุณค่าและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้านได้
1. ผล – มะละกอเป็นยาระบายอ่อน ๆ ที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งสุกและดิบ มีคุณค่าสารอาหารมากมาย เช่น โปรตีนและไฟเบอร์
2. ใบ – สามารถใช้ลวกแล้วนำมาประคบเพื่อลดอาการปวดบวมได้ ช่วยสมานแผล หรือใช้ชงเป็นชาเพื่อล้างไขมันได้
3. ราก – มีประโยชน์ในการต้มน้ำดื่มช่วยขับปัสสาวะหรือใช้ตำผสมเหล้าทาแก้เคล็ดขัดยอก
4. เมล็ด – ตากแห้งแล้วนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสช่วยขจัดสารพิษและฟื้นฟูตับ
5. ยาง – ใช้รักษาโรคผิวหนังและฆ่าพยาธิ หรือนำมาผลิตเป็นเบียร์ ยา หรือฟอกหนังได้
6. ดอก – สามารถนำมาใช้ปรุงน้ำหอมได้
แม้ว่ามะละกอจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็มีข้อควรระวังบางประการดังนี้
– การบริโภคมะละกอเกินไปอาจทำให้ผิวและฝ่ามือเปลี่ยนสีเหลืองได้ แต่เมื่อหยุดบริโภคสีผิวก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
– มะละกอมีปริมาณวิตามิน A สูง หากบริโภคมากๆ อาจส่งผลต่อกระดูก ข้อต่อ หรือเกิดอาการกระวนกระวายได้
– มะละกอมีเอนไซม์ปาเปนในปริมาณมาก ผู้ที่แพ้ควรหลีกเลี่ยง
– ในมะละกอสุกมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างมาก ผู้เป็นเบาหวานควรเลี่ยงการบริโภคมากๆ
– ผู้ที่เป็นไทรอยด์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานมะละกอ
– คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงมะละกอที่มีเอนไซม์ปาเปนเนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
นอกจากนี้ การเก็บมะละกอสดจากต้นควรระวังยางที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้และควรบริโภคมะละกอที่เก็บสดใหม่ภายใน 1-2 วันเพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารที่ดีที่สุด